แพทย์เผยวิจัย PM2.5 อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ จากสารพิษในชั้นบรรยากาศ
ช่วงหน้าหนาวที่ปีนี้ไทยทำหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรีหน้าหนาว ทำให้หลายจังหวัดรวมไปถึง กรุงเทพมหานครได้สัมผัสอากาศเย็นที่นานและหนาวกว่าในรอบหลายปี และแน่นอน ยิ่งอากาศเย็น ยิ่งแลกมากับฝุ่น PM2.5 ที่หนาแน่นขึ้น เพราะช่วงที่ความกดอากาศสูง ทำให้อากาศนิ่ง ฝุ่นควันต่างๆ ไม่สามารถลอยขึ้นสูงได้ จึงอาจเกิดการสะสมในพื้นที่จนเกินค่ามาตรฐานที่กลุ่มเสี่ยงต้องระวัง
สารตั้งต้นของ PM 2.5 ก่อนจะรวมตัวกับไอน้ำ และฝุ่นควัน คือ ก๊าซพิษ ซึ่งได้แก่ ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) รวมทั้งมีสารพวกโลหะหนัก เช่น ปรอท (Hg), แคดเมียม (Cd), อาร์เซนิกหรือสารหนู (As) หรือ อาจพบสารกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) ที่ล้วนแล้วแต่เป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์ ซึ่งแหล่งกำเนิดโดยตรง ได้แก่ การเผาในพื้นที่เพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยว ของบริษัทอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ในภาคเหนือตอนบน รวมไปถึงหมอกควันพิษข้ามพรมแดน การคมนาคมขนส่ง
อุตุฯ เตือนฉบับ 11 ประเทศไทยหนาวจัดบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนรักษาสุขภาพ
PM 2.5 อันตรายเพิ่มในเด็ก วิธีสังเกตอาการเด็กรีบพบแพทย์และการป้องกัน

โดยมาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงทั้งดีเซลและแก๊สโซฮอล์ อุตสาหกรรมการผลิตสารอินทรีย์ระเหยง่ายจากสารเคมีและอุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้า ซึ่งแม้จะมีค่า PM2.5 น้อยกว่าการเผาในที่โล่งและการคมนาคมขนส่ง แต่กลับมีสัดส่วนในการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) สู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด
งานวิจัยชี้ PM2.5 อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ
ด้วยองค์ประกอบของสารพิษเหล่านี้ ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ PM2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง ตั้งแต่ปี 2556 อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้ 1 ใน 8 ของประชากรโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กมาก ขนจมูกไม่สามารถกรองได้ สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และแทรกซึมสู่กระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ อาจทำให้การทำงานของปอดแย่ลง เพิ่มความเสี่ยงโรคถุงลมโป่งพอง ทางเดินหายใจอักเสบจนเกิดอาการภูมิแพ้ และโรคหัวใจ โดยเฉพาะ หลอดเลือดหัวใจตีบ และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
มีงานวิจัยระบุว่าPM 2.5 ที่เพิ่มขึ้นสะสมในระบบไหลเวียนเลือด ทุก 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สามารถเพิ่มความหนาของผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ ที่เป็นเส้นทางไปสู่สมองและหัวใจ (carotid intima-medial thickness) ได้ 5.9% ส่งเสริมการตีบหรืออุดตันหลอดเลือดแดงที่หัวใจ สามารถเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจมากถึง 1.24 เท่า และเพิ่มอัตราการตายจากโรคหัวใจ 1.76 เท่า
ปัจจุบันพบว่าอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ สืบเนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากในอดีต โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ที่เคร่งเครียดกับการทำงาน ไม่มีเวลาออกกำลังกาย จนอ้วนหรือลงพุง สูบบุหรี่ มีโรคประจำตัว (เบาหวาน ความดัน และไขมันในเลือดสูง) และปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ (อายุ เพศ และเชื้อชาติ) และเผชิญมลภาวะเช่น ฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง
เมื่อเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันขึ้นแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ต้องได้รับยาตลอดชีวิต ถ้าเป็นมากจนมีอาการเจ็บหน้าอก ต้องได้รับการขยายหลอดเลือดแดงโดยใช้บอลลูนหรือในคนไข้บางรายต้องได้รับการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือด ดังนั้น การป้องกันไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ชนิดหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ชนิดเฉียบพลัน จะมีโอกาสเสียชีวิตสูงถ้าไม่รีบมาพบแพทย์ คนไข้อาจมีอาการเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอกช่วงกึ่งกลางหน้าอก เป็นถี่ขึ้น รุนแรงมากขึ้นแม้ขณะไม่ได้ออกกำลัง อาจมีอาการใจสั่น เหงื่อออก หายใจไม่สะดวกร่วมด้วย เมื่อมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดแบบเฉียบพลันเกิดขึ้น อาจทำให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาที่กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง ว่านานแค่ไหน ดังนั้น จึงต้องรีบมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด หากวินิจฉัยแล้วว่าหลอดเลือดตีบจริง แพทย์จะทำการเปิดหลอดเลือดที่ตีบโดยการให้ยาสลายลิ่มเลือดหรือโดยวิธีการทำบอลลูนขยายหลอดเลือด
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ชนิดเรื้อรัง จะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจจะมีอาการแน่นบริเวณกึ่งกลางอกแบบเป็นๆ หายๆ อาจมีอาการปวดร้าวไปหัวไหล่ซ้ายขึ้นไปถึงกราม ซึ่งอาการเหล่านี้มักสัมพันธ์กับการใช้พละกำลัง เช่น การเดินเร็ว การออกกำลังกาย หรือการขึ้นบันไดก็จะทำให้เกิดอาการแน่นบริเวณทรวงอกได้ แต่พอได้นั่งพักอาการก็จะหายไป ดังนั้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้จะต้องรีบมาพบแพทย์
การรักษาหลักคือการปรับเปลี่ยนการดำรงชีวิตและการรับประทานยา ซึ่งเมื่อเป็นโรคนี้แล้วต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิตเพื่อป้องกันการพอกตัวของไขมันเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย ในกรณีที่มีอาการมาก และ/หรือเส้นเลือดตีบมากทำให้การบีบตัวของหัวใจลดลง คนไข้ต้องได้รับการสวนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน
ส่วนในรายที่มี หลอดเลือดตีบ หลายตำแหน่ง มักใช้วิธีการผ่าตัดทำบายพาส โดยแพทย์จะใช้เส้นเลือดแดงบริเวณแขนซ้ายหรือเส้นเลือดดำบริเวณขา ตั้งแต่ข้อเท้าด้านในจนถึงโคนขาด้านในมาเย็บต่อเส้นเลือด เพื่อนำเลือดแดงจากเส้นเลือดแดงใหญ่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่ขาดเลือด โดยข้ามผ่านเส้นเลือดส่วนที่ตีบ
กลุ่มเสี่ยงต้องระวังฝุ่น PM2.5 เป็นพิเศษ เสี่ยงโรคใหม่ โรคเก่ากำเริบ
แนวทางการป้องกันฝุ่น PM2.5
- การสวมหน้ากากอนามัยรุ่น N95 ซึ่งมีความละเอียดของเส้นใยสูงพอที่จะกรองฝุ่นเล็กขนาด 5 ไมครอนได้ นอกจากการป้องกันฝุ่นแล้ว เรายังสามารถลดวามเสี่ยงของโรคหัวใจได้ด้วย
- ลดการใช้ยานพาหนะส่วนตัว โดยเฉพาะการขี่รถจักรยานหรือจักรยานยนต์ ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
- ออกกำลังกายในที่มีฝุ่นน้อย ไกลจากถนน อาจเปลี่ยนเป็นออกกำลังกายในบ้านหรือฟิตเนส แทนการวิ่งตามสวนสาธารณะ
- รับประทานผักและผลไม้ หรืออาหารเสริม อาหารที่มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อไว้ใช้ต่อกรกับฝุ่นขนาดจิ๋วที่เข้าไปในร่างกาย
- การควบคุมน้ำหนัก เลือกรับประทานอาหาร เช่น เลือกรับประทานไขมันจากพืชแทนจากสัตว์ ลดอาหารเค็ม งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับบุคคลที่กังวลว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เพราะสัมผัสกับฝุ่นโดยเฉพาะพื้นที่ๆ มีPM 2.5 หนาแน่นเกินมาตรฐาน แพทย์อาจแนะนำ การตรวจคราบหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ Calcium Score CT ที่มีความแม่นยำสูง เพื่อตรวจหาปริมาณแคลเซียมที่ผนังของหลอดเลือดหัวใจ โดยแพทย์สามารถนำข้อมูลมาช่วยในการตัดสินใจเพื่อให้เหมาะกับผู้ป่วยในแต่ละรายได้ เพื่อให้การรักษาแต่เนิ่นๆ โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการ เป็นการลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตแบบเฉียบพลันจากโรคหัวใจได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
วิจัยมลพิษฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อหัวใจ อาจร้ายแรงถึงขั้นหัวใจวาย
ต้นตอฝุ่นPM2.5 กระทบหนักสุขภาพ เปิดข้อมูลช่วงเดือนฝุ่นปกคลุมทั่วประเทศ