13 มีนาคม วันโรคไต สาเหตุอันตราย และระยะโรคมื่อไหร่ต้องฟอกไต?
13 มีนาคม ในปี 2568 ถูกกำหนดให้เป็น วันไตโลก หรือ World Kidney Day แพทย์ย้ำสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย เผยสาเหตุอันตรายทั้งควบคุมได้และไม่ได้ และป่วยระยะไหนต้องฟอกไต?
วันไตโลก หรือ World Kidney Day ประจำปี 2568 ตรงกับวันที่ 13 มีนาคม โดยมีการรณรงค์ภายใต้คำขวัญ “หมั่นดูแลไต ใส่ใจคัดกรอง ป้องกันโรคไต” เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกตระหนักต่อภัยร้ายจากโรคไต ที่ทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้
สาเหตุการเกิดโรคไต
การรับประทานอาหารรสเค็มเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรคไต แต่ยังมีสาเหตุของการเกิดโรคไตที่สำคัญอีกหลายอย่าง เช่น
- โรคประจำตัวของคนไข้ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง โรคนิ่ว
- ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เกี่ยวกับโรคพุ่มพวง (โรคที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันต้านทานผิดปกติ)
- การรับประทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรที่ไม่มีคุณภาพ เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคไตในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น คนไข้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว เมื่อรับประทานอาหารเสริมที่มีเกลือ โซเดียม จึงไปกระตุ้นให้ความดันสูงขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ หรือในอาหารที่มีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัสสูง ก็จะทำให้เกิดค่าแร่ธาตุในร่างกายผิดปกติ
- การถ่ายทอดทางพันธุกรรม คือ โรคถุงน้ำในไต พบประมาณ 1 ใน 800 คน ถึง 1 ใน 1,000 คน ของประชากรในประเทศ โดยการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของยีนเด่น คือ พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ สามารถถ่ายทอดโรคสู่รุ่นลูกได้
คนไข้โรคไต ในระยะแรกมักไม่มีอาการ ซึ่งแตกต่างจากระยะท้ายๆ ที่สามารถสังเกตความผิดปกติได้อย่างชัดเจน ทีมอายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ เราจึงมีวิธีการตรวจอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการซักประวัติ ตรวจเลือดเพื่อดูค่า GFR ว่าไตสามารถทำหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกายได้กี่เปอร์เซ็นต์ การตรวจปัสสาวะ ตรวจด้วยวิธีอัลตร้าซาวด์ KUB เพื่อดูเนื้อไต และการตรวจเพิ่มเติมตามสาเหตุของคนไข้แต่ละบุคคล โดยโรคไตแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
- โรคไตแบบฉับพลัน มีโอกาสหายได้เมื่อทำการรักษาตรงตามสาเหตุอย่างถูกต้อง เช่น การควบคุมความดันในคนไข้ที่มีโรคความดัน ควบคุมระดับน้ำตาลในคนไข้โรคเบาหวาน
- โรคไตแบบเรื้อรัง คนไข้ส่วนใหญ่จะเป็นตลอดชีวิต เป็นภาวะการทำงานของไตที่ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป นานมากกว่า 3 เดือน พบบ่อยในผู้ป่วย โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง หากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เข้าสู่ภาวะไตเรื้อรังระยะสุดท้าย จนต้องได้รับการบำบัดทดแทนไตในที่สุด
โรคไตเรื้อรัง 5 ระยะและวิธีรักษา
- ระยะที่ 1 มีค่าการทำงานของไต (GFR) มากกว่า 90 ไตอยู่ในภาวะปกติแต่เริ่มมีความเสื่อมเกิดขึ้น รักษาด้วยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และรักษาโรคประจำตัว
- ระยะที่ 2 มีค่าการทำงานของไต (GFR) น้อยกว่า 90 ไตเสื่อม รักษาด้วยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
- ระยะที่ 3 มีค่าการทำงานของไต (GFR) น้อยกว่า 60 ไตเสื่อมมากขึ้น การทำหน้าที่กรองของเสียลดลง รักษาด้วยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ และติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
- ระยะที่ 4 มีค่าการทำงานของไต (GFR) น้อยกว่า 30 ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษา แพทย์จะรักษาด้วยการควบคุมอาหาร ให้ออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ ตรวจเลือดและปัสสาวะติดตามอาการทุก 3 หรือ 6 เดือน
- ระยะที่ 5 มีค่าการทำงานของไต (GFR) น้อยกว่า 15 เกิดภาวะไตวาย ไตไม่สามารถทำงานได้ ต้องรักษาด้วยการฟอกเลือดเมื่อค่า GFR ต่ำกว่า 9, หรือทำการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไต
ปัจจุบันมี 3 วิธีการรักษา
- การปลูกถ่ายไต
- การล้างไตที่บ้าน (การล้างไตช่องท้อง)
- การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
โรคไตสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย หากไม่ได้รับการตรวจหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสมอาจนำไปสู่การเกิดโรคไตเรื้อรังและเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคตามมาได้ เช่น ตัวบวม เท้าบวม เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดหลัง ปวดบั้นเอว ปัสสาวะมีฟอง รวมถึงมีความดันโลหิตสูงมาก ดังนั้น การตรวจสุขภาพประจำปี รวมทั้งการตรวจเลือดดูการทำงานของไตและการตรวจปัสสาวะถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในประชากรกลุ่มเสี่ยง อาทิเช่น อายุมากกว่า 60 ปี มีประวัติโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือผู้ป่วยที่รับประทานยาที่อาจส่งผลต่อการทำงานของไต ทานยาสมุนไพร หรือได้รับยาบำบัดทางเคมีบำบัดที่มีผลต่อไต ทั้งนี้หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงเป็นโรคไต แนะนำให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อการตรวจคัดกรองอย่างละเอียดอีกครั้ง
นอกจากการตรวจสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น ลดการบริโภคอาหารเค็ม อาหารไขมันสูง อาหารหมักดอง รวมถึงการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด และความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้ควรงดการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวด ยาสมุนไพรที่ไม่ทราบสรรพคุณ พร้อมกับใส่ใจสุขภาพตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคไต
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ และ กรมการแพทย์