สาเหตุที่แท้จริงของ “โรคมะเร็ง” กลไกก่อโรค และสัญญาณมะเร็งต้องระวัง
มะเร็ง คือโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนทั่วโลก รวมถึงในไทย หลายคนมักจะนึกถึงโรคร้ายที่หมดทางรักษา แต่ในความเป็นจริงแล้ว มะเร็งเป็นกลุ่มโรคที่มีความหลากหลาย โดยหลายกรณีสามารถรักษาให้หายขาดได้
มะเร็ง เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ในร่างกายมีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติและควบคุมไม่ได้ เซลล์มะเร็งจะมีความสามารถในการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ซึ่งมะเร็งเกิดได้ในทุกอวัยวะของร่างกาย เช่น ปอด ตับ เต้านม ลำไส้ใหญ่ โดยเราจะเรียกชนิดของมะเร็งตามอวัยวะต้นกำเนิด แม้ว่ามะเร็งชนิดนั้นจะมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้วก็ตาม เช่น มะเร็งปอดที่แพร่กระจายไปที่ตับหรือกระดูก เราจะยังคงเรียกว่ามะเร็งปอด ไม่ใช่มะเร็งตับหรือมะเร็งกระดูก
Freepik/freepik
รักษามะเร็ง

เหตุใดมะเร็งจึงเกิดขึ้นมาได้?
มะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของยีน มีการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำหน้าที่ควบคุมการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้เซลล์เหล่านั้นกลายเป็นเซลล์มะเร็ง การกลายพันธุ์ของยีนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติในร่างกายของเรา แต่โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับยีนที่ไม่ได้มีหน้าที่สำคัญ หรือบางครั้งร่างกายของเราสามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ จึงไม่เกิดปัญหาขึ้น การกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดขึ้นในจุดสำคัญและมากเพียงพอ จะนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งการกลายพันธุ์ของยีนดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นโดยความบังเอิญ หรือมีปัจจัยอื่นๆ มากระตุ้น หรือบางคนอาจจะได้รับยีนที่ผิดปกติถ่ายทอดมาทางกรรมพันธุ์ ก็เป็นได้
ปัจจัยที่แท้จริงของการเกิดมะเร็ง?
มีการศึกษามากมายที่พยายามจะหาปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม เรายังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่นอนได้ว่า ทำไมคนคนหนึ่งถึงเป็นโรคมะเร็ง และทำไมบางคนถึงไม่เป็น แต่ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า มีปัจจัยบางอย่างที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็ง เช่น
- การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์
- อายุที่มากขึ้น
- โรคอ้วน
- รังสียูวี
- การติดเชื้อบางชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบบีและซี ไวรัสเอชพีวี
- ส่วนในเรื่องอาหารยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แม้ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง เช่น เนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนสูงๆ ทำให้มีสารจำพวก HCAs และ PAHs เกิดขึ้น สารเหล่านี้ทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้
คำแนะนำในการปฏิบัติตัวให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง
- ไม่สูบบุหรี่ และไม่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต้องสูดดมควันบุหรี่
- งดการดื่มแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารอย่างพอเหมาะ ให้ได้สารอาหารครบถ้วน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ฉีดวัคซีนป้องกันในมะเร็งที่มีวัคซีน เช่น วัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี สาเหตุมะเร็งปากมดลูก
- หมั่นตรวจเช็กสุขภาพ โดยเฉพาะความเสี่ยงมะเร็งชนิดต่างๆ
ถึงกระนั้นก็ตาม หลายคนที่พยายามปฏิบัติตัวและดูแลรักษาสุขภาพเป็นอย่างดี ก็ยังมีโอกาสเป็นมะเร็งได้ จึงมีคำถามที่ว่า… เป็นไปได้ไหมที่เราจะตรวจหาโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อที่จะได้รับการรักษาให้หายขาดและเพิ่มอัตราการรอดชีวิต คำตอบคือ ‘ได้’ ซึ่งวิธีนี้เราเรียกว่าการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง เป็นการตรวจหาโรคมะเร็งให้พบตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น เพราะมะเร็งในระยะเริ่มต้นอาจจะไม่มีอาการบ่งชี้ใดใด เลย ยิ่งเราตรวจพบมะเร็งได้ไว โอกาสในการรักษาให้หายขาดยิ่งมีมากขึ้น
ทั้งนี้ คำแนะนำในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง ยังมีจำกัดเฉพาะในมะเร็งบางชนิดเท่านั้น แต่เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อย เช่น
- มะเร็งเต้านม แนะนำให้ตรวจแมมโมแกรมในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
- มะเร็งปากมดลูก แนะนำให้ตรวจคัดกรองในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป โดยอาจตรวจด้วยวิธี Pap test หรือ HPV test
- มะเร็งลำไส้ใหญ่ แนะนำให้ตรวจคัดกรองในผู้มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป มีวิธีการตรวจโดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ และการตรวจอุจจาระ
- มะเร็งต่อมลูกหมาก แนะนำให้ตรวจคัดกรองในผู้ชายอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ใช้วิธีการตรวจค่า PSA ในเลือด
- มะเร็งอื่นๆ ที่มีการตรวจคัดกรอง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด คำแนะนำในปัจจุบันยังให้ทำเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเท่านั้น
การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและได้ประโยชน์มาก หากท่านอยู่ในกลุ่มอายุที่เข้าเกณฑ์ตามคำแนะนำของการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งชนิดใด ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษารายละเอียดเพิ่มเติม โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการผิดปกติ
อาการน่าสงสัยว่าเป็นโรคมะเร็ง?
- มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ อย่างการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือปัสสาวะเป็นเลือด
- มีการกลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียด แน่นท้องเป็นเวลานาน
- มีอาการเสียงแหบและไอเรื้อรัง
- มีเลือดออกผิดปกติ เป็นแผลเรื้อรัง
- มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย
- มีก้อนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะต่อโรคมะเร็งเลย คืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดเมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น คือการไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง และเมื่อแพทย์สงสัยโรคมะเร็ง จะมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยโรคมะเร็งที่แน่นอนและบอกรายละเอียดเกี่ยวกับชนิดของเซลล์มะเร็งได้ การตรวจวินิจฉัยทางรังสี เช่น การตรวจ CT scan การตรวจ MRI ก็เป็นการตรวจเพื่อให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการแพร่กระจาย และระยะของโรคมะเร็ง เป็นต้น
วิธีการรักษาโรคมะเร็ง
การรักษาโรคมะเร็ง ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค ทั้งยังแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล วิธีการรักษาหลักๆ ได้แก่ การผ่าตัด การฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด และในปัจจุบันเราอาจจะเคยได้ยินวิธีการรักษาโรคมะเร็งโดยการใช้ยามุ่งเป้า และภูมิคุ้มกันบำบัดกันมากขึ้น ซึ่งการรักษาทั้งสองอย่างนี้ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ที่พลิกโฉมวงการการรักษาโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก
- ยามุ่งเป้า คือยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อยีนหรือโปรตีนที่ช่วยให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัวและเจริญเติบโต ดังนั้นยากลุ่มนี้จึงมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งได้อย่างเฉพาะเจาะจง และค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีการใช้ยามุ่งเป้าในการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งปอดระยะแพร่กระจายที่มีการกลายพันธุ์ของยีน EGFR มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม เป็นต้น
- ภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นการรักษาโรคมะเร็งอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งใช้หลักการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราให้ไปทำลายเซลล์มะเร็ง มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อกล่าวถึงภูมิคุ้มกันบำบัด มักจะหมายถึงการใช้แอนติบอดีที่เรียกว่า Immune checkpoint inhibitors เป็นยาฉีดที่มีผลทำให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และช่วยไปทำลายเซลล์มะเร็ง ปัจจุบันมีการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดในการรักษามะเร็งหลายชนิด
ทำอย่างไรเมื่อทราบว่าเป็นมะเร็ง?
อันดับแรกให้ตั้งสติ เตรียมพร้อมรับข้อมูลต่างๆ ผู้ป่วยควรทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เป็นว่า เป็นมะเร็งชนิดไหน ระยะใด มีแนวทางในการรักษาอย่างไรบ้าง และเป้าหมายในการรักษาคืออะไร รักษาเพื่อหวังผลให้หายขาด หรือรักษาเพื่อการประคับประคองควบคุมโรค เมื่อได้แนวทางรักษาแล้ว ควรทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมของทั้งตัวผู้ป่วยเองและคนในครอบครัว
สุดท้ายแล้ว “มะเร็ง” จะน่ากลัวอย่างที่คิดหรือไม่? ขอให้ทุกท่านเป็นผู้ตัดสิน แต่อย่าลืมว่า ในปัจจุบันมะเร็งไม่ใช่โรคที่สิ้นหวังอีกต่อไป การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าเป็นระยะแพร่กระจายแล้ว อาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ยังมีการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอยู่ได้ยาวนานขึ้น หรือในท้ายที่สุดแล้ว หากไม่สามารถรักษาหรือควบคุมโรคได้ ยังสามารถที่จะดูแลแบบประคับประคอง บรรเทาอาการให้ผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน และมีความสุขสบายมากที่สุดในขณะที่มีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 1