เปิดชีวิต “ม้า อรนภา” หลังไม่ได้ทำงานในวงการ พร้อมเคลียร์ข่าวเมาท์ ขายสมบัติเก่ากิน


โดย PPTV Online

เผยแพร่




“ม้า - อรนภา กฤษฎี” เผยชีวิตหลังไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง เคลียร์ข่าวเมาท์แรง “ขายสมบัติเก่ากิน”

“ม้า อรนภา” แนะ “กาละแมร์” สั้นๆ "อยู่อย่างมีสติ"

“ม้า อรนภา” ตัดใจขายรถคลาสสิคสุดหรูคู่ใจ บอกเป็นของนอกกาย

อยู่ในวงการบันเทิงมานาน แต่หลังเจอกระแสดราม่า ทำให้พิธีกรดัง ม้า - อรนภา กฤษฎี ต้องพักงานในวงการไปพักใหญ่ และผันตัวไปทำธุรกิจกับครอบครัว เป็นแม่ค้าออนไลน์ และเพิ่งตัดสินใจขายรถคันโปรดไปเมื่อไม่นานมานี้ เลยทำให้เจอกระแสเมาท์แรงว่า งานหด เงินหาย จนต้องขายสมบัติเก่ากิน ล่าสุดเจ้าตัวได้มาเปิดใจเคลียร์เรื่องดังกล่าว พร้อมอัปเดตชีวิตให้ฟังใน คุยแซ่บshow โดยเผยว่า

ผ่านมรสุมมาเยอะ ก็ต้องใช้กำลังกาย กำลังใจในการฝ่าฟัน

“ไม่ได้ฝ่าฟันอะไร อยู่นิ่งๆ เฉยๆ สบาย มีความสุขดี”

ขอย้อนกลับไปที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้น

“ก็อย่างที่รู้ก็ไปคอมเมนต์ก็แค่นั้นเอง พูดแค่นั้นพอ ความรู้สึกตอนนั้นก็รู้ว่าเหตุการณ์มันเกิดอะไรขึ้น (คิดว่าเรื่องมันจะรุนแรงมากไหม?) ในเมื่อเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต รุนแรง เราก็ต้องเล่นไปบทบาทนั้น เพราะมันเป็นแบบนั้น เราจะไปคัดค้านอะไรมันก็เป็นไปไม่ได้ ดิฉันไม่เคยคัดค้านอะไรเลย ตอนนี้หายจากหน้าจอ น่าจะ 5 เดือนแล้ว

ถ้าในโซเชียล ก็หายไป 4 เดือน ก็ไม่ได้เล่นเลย ต้องบอกว่าดิฉันอกหัก คือหมายถึงว่า มันมะรุมมะตุ้มอะไรขนาดนั้น ก็เลยคิดว่า ถ้าเรื่องราวมันเป็นขนาดนี้ มารุมดิฉันขนาดนี้ ดิฉันไม่เล่นเลยก็ได้ แต่ก็ยังพูดคุยกับเพื่อนในไลน์ ถามว่าเข้าไปอ่าน เข้าไปดูไหม ก็ดูของคนอื่นดู แต่ว่าไม่ได้คอมเมนต์อะไรนะ ดูความเคลื่อนไหว ตามลักษณะคนเคยอ่านข่าวมาก่อน (อกหักกับผิดหวังต่างกัน?) มันต่างกัน”

จริงๆในเหตุการณ์ที่ผ่านมามันมีคำว่าผิดหวังไหม

“ไม่มี ดิฉันไม่เคยผิดหวังอะไรเลยในชีวิต รู้สึกอย่างเดียวคือ น้อยใจนิดนึง ไม่เสียใจด้วยนะ แต่น้อยใจที่ไม่มีเงินจากการทำงานในแต่ละเดือน ซึ่งฉันไม่เคยน้อยใจใครเลยนะ คุณอาจจะคิดว่าดิฉันน้อยใจในสิ่งที่ทุกคนพยายามให้ดิฉันออกจากงานหมดทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนมาถึงวันที่เกิดเหตุการณ์ 30 - 40 ปี ดิฉันไม่เคยน้อยใจ ต้องขอบคุณกับทุกๆคนที่ให้โอกาสดิฉัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรายการ เจ้าของละคร เจ้าของเวที แฟชั่นโชว์ เจ้าของเสื้อผ้า คือทุกสิ่งทุกอย่าง จนมาถึงจุดนึงเพื่อนฝูงดิฉันเขาไปกันหมดแล้ว ดิฉันยังอยู่ อยู่เลย แล้วดิฉันก็ยังยืนอยู่เป็นหนึ่งตลอด อันนี้ดิฉันต้องขอบคุณเขา สิ้นสุดไปเมื่อตุลาคม ปีที่แล้ว”

ตอนนั้นที่โดนโทร.แคลเซิลงานไหม

“ไม่มีใครโทรมาเลย เขาใช้วิธีการพูดออกรายการโทรทัศน์กับลงในสื่อโซเชียลในอินสตาแกรม ดิฉันนั่งดูโทรทัศน์กับคุณแม่ เขาก็ประกาศออกมา พอเขาประกาศมาว่าดิฉันไม่ได้ทำงานนี้แล้ว ดิฉันก็เฉยๆ แม่ก็เฉยๆ แต่ดิฉันรู้สึกว่า ลูกไม่ได้ทำงานแล้ว แต่เขาก็เฉย ดิฉันก็เฉยแล้วก็นิ่ง ไม่มีความทุกข์ใดๆทั้งสิ้น (ได้ยกหูโทรศัพท์ถามต้นสังกัดไหม?) ไม่มี ดิฉันเป็นคนไม่เซ้าซี้ จะโทร.ไปทำไม เขาสิควรจะโทรหาดิฉัน ดิฉันจะโทรไปหาทำไม”

พอเกิดเหตุการณ์แบบนั้น รู้ไหมว่ามันจะมีเรื่องงานตามมา

“ไม่รู้สิ ดิฉันไม่คิด ใครจะไปคิดละ (น้ำตาตกไหม?) ไม่ตก ไม่เคยร้องไห้เลยกับการที่ดิฉันถูกออกจากงานทั้งหมด ทุกรายการ ดิฉันไม่ได้ร้องไห้เลย ไม่ได้เสียใจ ต้องขอบคุณมากกับการที่ดิฉันได้ปฏิบัติธรรม แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดี ต้องขอบคุณที่ดิฉันเข้าใจทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่เสียใจเลย แต่ร้องไห้นะ”

ล่าสุดแต่งหน้า แล้วบอกว่าคิดถึงการทำงานในวงการบันเทิง

“ดิฉันไม่ได้พูดว่าในวงการบันเทิง ดิฉันเขียนไปว่าอยากทำงาน ต้องบอกอย่างนี้ในแคปชั่น ในการคอมเมนต์ หรือว่าในการเขียนอะไรต่างๆ ในลักษณะของดิฉันจะเป็นสั้นๆ ได้ใจความ เพราะดิฉันเป็นคนเขียนหนังสือมาก่อน รูปนี้เป็นรูปที่ดิฉันไปเดินแบบสนุกๆในตลาด ดิฉันก็ไปขายของ ไปขายห่อหมก แล้วก็ไปช่วยเขาเดินแบบ ก็จะมีนางแบบคนอื่นๆ ดีไซเนอร์คนอื่นๆมาช่วยกันเดินสนุกๆ เผื่อที่ทำให้ตลาดไม่เหมือนที่อื่น”

ลึกๆแล้ว อยากกลับไปทำงานในวงการบันเทิงไหม

“ในอาชีพอย่างพวกเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร นักแสดง มันเป็นอาชีพรอให้เขาเรียก ดิฉันก็ต้องรอให้เขาเรียก เราก็ทำตัวให้เรามีศักยภาพที่ดี เพื่อพร้อมที่จะทำงาน (วันนี้พร้อมกลับมาทำงานไหม?) ก็พร้อมเสมอ มีไหมละ อย่าใช้คำพูดว่าเป็นกำลังใจให้นะ อย่าพูด กระทำเลย”

ชีวิตตอนนี้จะเห็นว่าไลฟ์ขายของ ส่วนมากขายอะไรบ้าง

“ขายห่อหมก นั่นคือ ทำคลิปเพื่อมาบอกว่า เดี๋ยววันนั้นวันนี้ฉันจะขายห่อหมกนะ ก็จะเป็นคลิปในไอจี และในเฟซบุ๊กเท่านั้น แล้วจะมีลงในเพจห่อหมดแม่คุณม้า ลูกๆหลานๆ ทำเพจอันนี้ให้คุณแม่แค่นั้นเอง ดิฉันก็จะมีการขายแบบนั้น (บางทีเห็นมีเสื้อผ้า?) ตั้งแต่ตอนที่ดิฉันทำงานมาตลอด ก่อนหน้านี้ 2 ปีผ่านมา โปรดิวเซอร์คนนึงก็ลุกมาทำเพจแม่ม้ามาแล้ว เราเห็นว่าเรื่องราวออนไลน์มันมีอิทธิพลมากขึ้น ก็ทำออนไลน์ดีกว่า เราก็เลยหันมาทำออนไลน์”

เอาแบรนด์เนมหลักเป็นแสน เป็นหมื่น มาขายหลักพัน

“พอหลังจากนั้นเราก็หยุดไป เพราะด้วยเศรษฐกิจการหาโฆษณามันก็ลดน้อยถอยลง เราก็เลยหยุดไปตั้งแต่มีโควิด พอมาปลดล็อกครั้งแรก เราก็เลยคิดว่าเรามาทำปัดฝุ่นกันใหม่ เราก็เริ่มกลับมาทำคอนเทนต์กันใหม่ แต่คอนเทนต์มันยังไม่ออก เราก็เลยทำไลฟ์ขายของกันดีกว่า พอเราเริ่มปั๊บ เราก็ยังหาลูกค้าไม่ได้ จะขายอะไรดี พี่เคยเอาเสื้อผ้าไปขาย สาเหตุเพราะว่าการปลดล็อกครั้งที่1 ของโควิด ทางห้างแห่งนึงเขาให้พื้นที่กับคนในวงการแฟชั่นให้เอาของไปขาย โดยที่ไม่คิดค่าเช่า แล้วมีน้องคนนึงเขาเอาไปขาย ฉันบอกว่าฉันมีเสื้อผ้าเยอะมากใส่ไม่ค่อยได้แล้ว บางทีมันก็เบื่อแล้วก็ขายตัวละ 500-1000-1500 จากตัวละ 4-5 หมื่น ก็ไม่เสียดาย ของนอกกาย อย่าไปเสียดาย”

กลัวคนมองไหมว่า “ม้า อรนภา” จากที่เลิศหรู แต่มาขายของแบบนี้

“ดิฉันไม่ได้เลิศหรูขนาดนั้น คุณไปสร้างภาพเองว่าดิฉันเลิศหรูขนาดนั้น”

พอมาไลฟ์ขายของในคอมเมนต์ก็บอกว่าใกล้จะหมดตัวหรือเปล่า เลยต้องเอาของออกมาขาย

“เอางี้นะ ดิฉันทำงานมา 30-40 ปี คุณคิดว่าดิฉันจะไม่มีเงินเก็บเลยเหรอ ดิฉันใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทด้วย”

ล่าสุดขายรถ

“คือดิฉันมีรถตู้ เอาไว้สำหรับทำงาน เพราะมีคนขับรถ อันที่สอง ดิฉันมีรถสปอร์ตเอาไว้ใช้สำหรับวันที่ไม่มีคนขับรถ ดิฉันอยากได้รถญี่ปุ่นคันเล็กๆมือสอง 4-5 แสน แล้วซื้อเงินสดแล้วก็จบไป แต่ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นรถสปอร์ตคันนี้ เพียงแค่พูดว่ารถสวย คนฟังเขาก็เลยซื้อให้ (ไม่ได้ซื้อเอง?) ไม่เคยซื้อเอง ยังมีเครื่องเพชรอีกเยอะแยะมากมายที่ไม่ได้ซื้อเอง

รถสปอร์ตราคาเท่าไหร่เหรอ 3.6 ล้าน จริงๆ มัน 3.8 ล้าน แต่เขาลดให้ รถสปอร์ตคันนี้อยู่มา 7 ปีใช้ไปหมื่นกิโล ฉันปฏิเสธว่าไม่เอา แต่เขาซื้อมาแล้ว ฉันก็บอกว่าไม่เอา มันเป็นสิ่งที่ใหญ่เกินไปที่มาให้ของที่มันเป็นล้านๆ ก็เพราะว่าเขารักฉัน จบ แต่ดิฉันไม่ได้รักเขา ดิฉันเป็นกัลยาณมิตรกับเขาแค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่อยู่ๆ เราไปเอาของเขานะ พอเราเริ่มรู้จักกัน ฉันให้เขาก่อนนะ ฉันให้ทั้งความรู้ การศึกษา ฉันให้ข้าวของ วันเกิดฉันให้แบรนด์เนม ฉันให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เรารู้จักที่จะให้เขาก่อน”

เป็นสายเปย์ด้วยไหม

“ฉันไม่ได้เป็นสายเปย์ คือมันต้องมีน้ำใจ เรารู้จักกัน การที่สานสัมพันธ์อยากจะเป็นเพื่อน จนถึงอยากเป็นกัลยาณมิตร เราไม่รู้จักการให้เหรอ เราคบกันด้วยผลประโยชน์เหรอ ก็เหมือนรายนั้นที่ให้รถ ให้เครื่องเพชรก็ด้วยผลประโยชน์อยากจะได้เราไง สุดท้ายไม่ได้มันก็เลิกรากันไป (ผู้ชายคนนั้นคือใคร?) เรารู้จักกัน เขาทำธุรกิจอยู่ทางใต้ เวลาเขามีงาน เราก็ไปช่วย เราจะไปทำคอนเทนต์ต่างๆ ทำโชว์ โดยที่ไม่คิดอะไรเขาเลย พอดิฉันคบใคร ดิฉันจะเป็นในลักษณะแบบนี้ คนนี้คือคนล่าสุด”

เห็นว่ามี 2 คน คนนึงเป็นผู้ชาย คนนึงเป็นทอม

“นั่นคือ 7 ปีที่แล้ว ที่เขาซื้อรถให้”

ย้อนกลับไปตอนนั้นมีคนนึงมาชอบ แล้วซื้อทุกอย่างให้ โดยที่ไม่เคยเข้าห้องด้วยกัน ไปโรงแรมก็จะนอนแยกห้องกันตลอด

“ก็คือรถคันที่เห็นนี่แหละ เสร็จแล้วพอหลังจากนั้นก็มารู้จักกับอีกคนนึง ก็รู้จักกันมา 3 ปี สนิทสนมกันระดับนึง ก็มีน้ำใจต่อกัน ก็มีอยู่วันนึงเขามาถามว่าทำไมไม่ใช้รถญี่ปุ่น ยี่ห้อนี้ละ ดีมากเลย ฉันก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ฉันไม่อยากมีภาระ เพราะว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีหนี้สินอะไรเลย เรื่องอะไรจะมาก่อหนี้ เขาบอกเอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวผมซื้อคันสีขาวสปอร์ตนี้ไป แล้วเงินที่เขาซื้อไปก็ไปออกรถญี่ปุ่นคันนี้ซะ เราก็บอกถ้าอย่างนั้นโอเค เพราะรถสปอร์ตคันนี้มีคนรู้จักกันเอาไปฝากขาย 2 ปียังขายไม่ได้เลย อยู่มาวันนึงมีคนมาซื้ออย่างนี้ ฉันก็ขายเลยสิ เพราะมัน 7 ปีแล้ว คือการซ่อมมันจะแพง รถตู้อีก ก็เป็นการลดภาระ (ตอนขายบอกเขาไหม?) ไม่ได้คุยกันแล้ว หมายถึงเจอก็คุย แต่ไม่ได้มีคอนแท็ก แต่เขาก็รู้อยู่แล้วเวลาทำอะไรฉันก็ลงสื่อให้คนเห็น”

แล้วคนที่เป็นทอม

“ฉันก็เบื่อมากเลย ทำไมก็ไม่รู้ เวียนหัวเหมือนกัน (เมื่อไหร่?)  เมื่อ 7 ปีที่แล้ว

ทำบุญด้วยอะไร

“ไม่ได้ทำบุญด้วยอะไร เราต้องมีน้ำใจ คนเราไม่ใช่เป็นผู้รับอย่างเดียว ต้องรู้จักที่จะให้ก่อน”

PR - ตารางคะแนน-2_B PR - ตารางคะแนน-2_B
TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ