“ไมค์ พิรัชต์” ไม่หยุดเดินตามฝัน แม้ไม่ง่าย ภูมิใจไปถึงฮอลลีวูด


โดย PPTV Online

เผยแพร่




สัมภาษณ์พิเศษ “ไมค์ - พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” เส้นทางการทำงานในวงการบันเทิง สู่การโกอินเตอร์ เดินตามฝันสำเร็จ สุดภูมิใจหนังฮอลลีวูดเรื่องแรกลงจอสู่สายตาคนดู

เป็นอีกหนึ่งคนดังที่เดินเข้าสู่ถนนสายบันเทิงมาเกือบ 20 ปี สำหรับซุปตาร์หนุ่ม ไมค์ - พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล อดีตคู่ดูโอ้ “กอล์ฟ - ไมค์” นักร้องขวัญใจวัยรุ่นที่โด่งดังเป็นพลุแตกในยุคนั้น และเมื่อเติบโตขึ้น เขาและพี่ชาย กอล์ฟ - พิชญะ นิธิไพศาลกุล ต่างแยกย้ายไปเดินตามฝันและเป้าหมายใหม่ในชีวิต

โดย ไมค์ ได้หันมาเลือกเส้นทางการเป็นนักแสดง และมีผลงานละครไทยหลายเรื่องที่สร้างชื่อ ก่อนจะได้รับโอกาสโกอินเตอร์ทำงานที่ต่างประเทศจนถึงทุกวันนี้ 

"ไมค์ พิรัชต์" คว้ารางวัลศิลปินต่างชาติยอดนิยม 2 ปีซ้อน ตอกย้ำความฮอตในจีน

“ไมค์ พิรัชต์” เผยความรู้สึก หลังผลงานฮอลลีวูดเรื่องแรก The Misfits เตรียมลงจอ

และในที่สุดเขาก็ทำฝันวัยเด็กเป็นจริง หลังได้เป็นหนึ่งในนักแสดงของภาพยนตร์ฮอลลีวูด ซึ่ง ไมค์ ได้เปิดใจกับทาง “พีพีทีวี นิวมีเดีย” ถึงการเส้นทางที่เขาเลือก งานที่เป็นความรักและเป้าหมายในชีวิตที่แม้จะไม่ง่ายแต่จะเดินไปให้ถึง

ซุปตาร์หนุ่มเริ่มเล่าถึงเส้นทางในวงการบันเทิงของเขาที่ทำงานมาตั้งเด็ก “เรียกว่าโตมากับวงการบันเทิงได้เลยครับ ผมเริ่มเข้ามาทำงานเกี่ยวข้องวงการบันเทิงจนถึงตอนนี้ก็ 20ปีแล้วครับ เป็นส่วนนึงของชีวิตผมไปแล้ว และผมก็รักและยังอยากเรียนรู้แล้วก็เติบโตไปกับมัน ถ้าเราทำงานที่เรารักเราจะรู้สึกสนุกกับมัน จะรู้สึกอยากตื่นมาทำงาน มันเป็นความรู้สึกที่ดีสำหรับการทำงานนะครับ แต่ก็ยอมรับว่ายังมีความรู้การพัฒนาอีกเยอะที่ผมยังทำได้ไม่ดีพอ และยังต้องฝึกฝนมันต่อไปครับ

ถามว่าเพราะอะไรจึงเบนสายตัวเองจากนักร้องมาเป็นนักแสดง นั่นเป็นเพราะว่าผมรักงานทั้งสองอย่างครับ การที่ผมได้ทดลองงานแสดงก็ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก จนวันนี้งานวงการไม่ว่าจะเป็นร้องหรือแสดงกลายเป็นส่วนนึงของชีวิตผมไปแล้ว”

คิดว่าอะไรเป็นแรงผลักดันที่ดีของตัวเรา?

“ผมเจอคำตอบที่แท้จริงเมื่อไม่นานมานี้เลยครับ ผมตอบจากใจได้เลยว่าแรงผลักดันที่ดีที่สุดของผมก็คือ “อุปสรรคและเป้าหมาย” เพราะผมอาจจะเป็นคนที่มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอเป้าหมายนี้เราดินไปแตะถึงแล้ว ผมก็จะตั้งเป้าหมายใหม่ที่ยากกว่าเดิม และก็วนอยู่แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ แต่กว่าจะเดินไปแตะแต่ละเป้าหมายที่ตั้งไว้ แน่นอนว่าระหว่างทางมันมีแต่อุปสรรค เพราะอะไรที่เราอยากได้มันไม่เคยมาหาเราเองง่ายๆอยู่แล้ว ยิ่งต้องการมาก ยิ่งยากมาก ยิ่งต้องเดินไปชนอุปสรรคมากขึ้นไปตามลำดับของมัน

แต่ทุกความต้องการมันมีต้นทุนของมันที่เราต้องยอมรับให้ได้นะ ที่ผมตอบได้ชัดเจน ผมสารภาพเลยว่าเพราะผมเคยทอดทิ้งความฝัน ทอดทิ้งเป้าหมาย ทอดทิ้งตัวเองไปช่วงนึง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนเราคงต้องมีบ้างที่มีช่วงที่ดิ่งมากๆ เอาตรงๆผมคิดเลยว่าผมในตอนนั้นมันว่างเปล่า ไม่มีความสุข ไม่มีอะไรอีกเลย และมันคงทุกข์มากจนเราพยายามหาทางออก หาคำตอบให้ตัวเองว่าทำยังไงถึงจะเอาตัวเองออกจากความรู้สึกลบๆแบบนี้ ผมก็รู้เลยในทันทีว่า ชีวิตผมที่ผ่านมามีความหมายได้เพราะผมมีเป้าหมาย มีแพชชั่น สิ่งนี่แหละที่คอยต่อลมหายใจผมเลย ดังนั้นเวลาที่ผมดาวน์หรืออะไรก็ตาม ผมจะเตือนใจตัวเองเสมอเลยว่า ผมต้องไม่ลืมเป้าหมาย ต้องไม่ทิ้งแพชชั่น ไม่งั้นก็เหมือนทอดทิ้งตัวเอง”

ถ้ามองย้อนไปจากจุดเริ่มต้น คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ไหม ที่ประสบความสำเร็จไปถึงต่างประเทศ?

“ผมยังคงเชื่อว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่แค่นั้นไม่พอครับ ต้องไม่หยุดเรียนรู้และไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วอยู่เสมอ สุดท้ายก็คือต้องไม่ท้อก่อนไปถึงเป้าหมายด้วยครับ ก็คือห้ามยอมแพ้กลางทาง ถ้าเราเริ่มอะไรแล้วก็ควรสานต่อให้จบ

ถามว่าการทำงานต่างประเทศยากหรือง่ายยังไงเหรอครับ ยากมากครับ ทุกด้านเลย ทั้งดิน ฟ้า อากาศ อาหาร วัฒนธรรม ภาษา ทุกอย่างมีความต่างหมดครับ แต่ทุกอย่างมันมีเสน่ห์และสวยงามมากในตัวของมันเอง เราแค่ต้องรู้ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามด้วยการเปิดใจ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของภาษา คือละครหรือผลงานต่างๆของผมที่เกิดขึ้นที่จีน ผมตั้งธงให้ตัวเองเอาไว้ว่าผมจะใช้ภาษาจีนให้ได้มากที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้เป็นการตอบแทน ผมมองว่ามันเป็นการให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติผู้ว่าจ้าง และที่สำคัญให้เกียรติแฟนๆที่ติดตามผลงานและสนับสนุนผม

ถัดมาน่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ซึ่งก็มีการปรับตัวครับ และสุดท้ายน่าจะเป็นเรื่องความโดดเดี่ยวมั้งครับ จนวันนี้ก็คือผมชินสุดๆแล้วครับ (ยิ้ม)”

 

มีช่วงที่เหนื่อยหรือท้อไหม ผ่านมาได้ยังไง?

“ท้อเป็นเรื่องปกติ แต่แค่ไม่ยอมแพ้เท่านั้นเอง มันท้อหลายๆเรื่องอยู่แล้วครับ ทั้งเรื่องของตัวเองด้วย ทั้งเรื่องของการงาน ทั้งเรื่องของหลายๆอย่าง แต่โดยส่วนตัวคิดว่าตราบใดที่เรายังไม่ยอมแพ้ ยังไงมันก็ต้องมีวันหนึ่งที่มันเป็นวันของเรา

ผมก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่ผ่านได้ด้วยตัวเองบางเรื่อง ผ่านได้ด้วยกำลังใจจากคนอื่นๆในบางครั้ง ผ่านได้ด้วยการซัพพอร์ตจากทั้งครอบครัว คนรอบข้าง แฟนคลับในหลายๆหน ผมว่าในความโชคร้ายก็แฝงไปด้วยความโชคดีเป็นเรื่องจริงนะครับ สำคัญตรงที่ว่าผ่านเหตุการณ์ที่ท้อแท้นี้ไปแล้ว เราได้เรียนรู้อะไรจากมัน มันเป็นบทเรียนที่เราจะไม่ไปทำซ้ำได้ยังไง แล้วทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มากน้อยแค่ไหน เพราะแค่เราผ่านมันมาแต่ไม่ยอมเรียนรู้ เรื่องราวนั้นๆจะกลับมาทำให้เราท้อแท้อยู่เรื่อยๆ”

ทำฝันของตัวเองสำเร็จ ได้ไปไกลถึงฮอลลีวูด หนัง The Misfits ลงจอที่อเมริกาแล้ว ฟีดแบคเป็นยังไงบ้าง?

“น้องสาวผมอยู่ที่อเมริกาก็ไปดูมา เขาก็บอกว่าฟีดแบคก็ค่อนข้างดี แล้วก็มีทีมงาน The Misfits ส่งมาก็มีบางที่ที่ตั๋วหมดแล้วคือจองเต็ม แล้วก็ตามพวก Video on Demand พวกอเมซอนอะไรพวกนี้ก็มีขึ้นอันดับหนึ่งด้วย จริงๆก็โล่งใจประมาณหนึ่งครับ ที่ตรงนั้นเขาเปิดได้ทันเวลาพอดี พอหนังเข้าปุ๊บคนเขาก็คงอาจจะไม่ได้ไปโรงหนังนานก็เลยเข้าไปดูกัน ถือว่าดีเลย คิดว่ามันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการเปิดตลาดใหม่ด้วยครับ แต่ที่ไทยตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าฉายเมื่อไหร่ เพราะว่าเราก็ต้องดูสถานการณ์ต่อไปก่อน”

กับนักแสดงที่ต้องเข้าฉากด้วย ตัวเราตื่นเต้นแค่ไหน?

“ตื่นเต้นมากครับ ตอนที่ไปเจอครั้งแรกคือเหมือนเราได้เห็นนักแสดงอย่าง เพียร์ซ บรอสแนน เขาคือ เจมส์ บอนด์007 ที่เราเห็นเขามาตั้งแต่เด็ก แล้วพอได้ไปเจอตัวจริงมันก็เหมือนกับเป็นความฝันของเราที่อยากจะร่วมงานกับดาราฮอลลีวูดคนนี้ด้วย พอได้ไปเจอเราก็ตื่นเต้น จำได้เลยว่าตอนจับมือเราก็มือสั่นๆ นิดหน่อย และด้วยความที่ได้เข้าฉากกับเขาค่อนข้างเยอะ โดยส่วนตัวผมเองค่อนข้างเกร็ง เขาเลยค่อนข้างให้กำลังใจ เป็นคนที่ให้พลังบวกกับกองถ่ายเยอะ เวลาเขาอยู่ใกล้ๆ ทำให้เราเกิดความมั่นใจมากขึ้น มันทำให้การแสดงของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นและเกร็งน้อยลง คือจริงๆประทับใจเขาแทบจะทุกอย่างเลย”

หลายคนมองว่าฮอลลีวูดต้องเป๊ะมาก พอไปสัมผัสแล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?

“เป๊ะทุกอย่างครับ โดยเฉพาะเรื่องเวลา คือเราไม่ต้องกังวลว่านอกเหนือจากหน้าที่การแสดงแล้ว เราจะต้องไปโฟกัสอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้า ผม คือเราไม่ต้องกังวลเลย ถ้าถามถึงความยากเหรอครับ ด้วยความที่หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เป็นหนังพูดภาษาอังกฤษของไมค์ ความยากของมันก็คือเรื่องภาษานี่แหละครับ ก็อาจจะต้องทำการบ้านค่อนข้างเยอะหน่อยในการที่จะให้สำเนียงไปได้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ”

“ไมค์ พิรัชต์” เล่นหนังฮอลลีวูด ประกบ “เพียร์ซ บรอสแนน”

หลังจากหนังเรื่องนี้แล้ว จะมีโอกาสต่อยอดไปในผลงานที่เป็นระดับฮอลลีวูดเรื่องอื่นอีกไหม?

“จริงๆ ที่ผ่านมามันก็มีแคสติ้งอยู่เรื่อยๆ อยู่ที่ว่าโปรเจ็กต์ไหนเขาจะมองหาคาแร็กเตอร์ที่เป็นคนเอเชีย ซึ่งถ้าให้พูดตามตรงมันก็ไม่ได้มีเยอะมากขนาดนั้น สำหรับบทคนเอเชียที่เป็นแนวนี้ ก็เหมือนกับการเปิดประตูใหม่ๆ ให้กับโอกาสทางการงานของไมค์ด้วย แล้วก็การได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับท็อปๆของฮอลลีวูดก็ทำให้ตลาดนี้เปิดกว้างขึ้นด้วย”

การได้ไปทำงานฮอลลีวูดถือเป็นรางวัลหนึ่งของความไม่ท้อของตัวเอง?

“ใช่ๆ มันอาจจะใช้เวลานานหน่อย คือจริงๆมันเป็นความฝันตั้งแต่เด็ก ซึ่งมันก็กลายเป็นเป้าหมายของเราในชีวิต แล้วพอเราทำให้มันเกิดขึ้นมันก็กลายเป็นความจริงของเรา ซึ่งเราก็ได้ไปถึงจุดนั้น แล้วก็คาดว่าก็คงอยากจะไปต่อในอนาคต”

ยังมีอะไรที่อยากทำอีกไหม?

“อีกเยอะมากครับ อย่างที่ผมบอกไว้ ผมหยุดเป้าหมายในชีวิตไม่ได้ เพราะมันคือแรงผลักดันของชีวิตผม และผมรักตัวเองที่ทำงานที่สร้างรอยยิ้มให้คนอื่นผ่านผลงานของผม ผมยังอยากพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ทั้งสำหรับตัวเองและสำหรับคนที่ผมรัก รวมไปถึงคนที่รักผมด้วย ผมอยากใช้ความตั้งใจและความพยายามของผมให้มากกว่านี้ ยิ่งผมในตอนนี้ผมอยากทำผลงานทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง ผมอยากทำหุ่นยนต์ ผมชอบงานอินทิเรียดีไซน์ ผมจะหยุดตัวเองไว้แค่ที่วันนี้ไม่ได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ชีวิตนี้ผมต้องทำให้บรรลุไปให้ได้อีกเยอะเลยครับ”

ตั้งเป้าหมายตัวเองไว้ยังไงบ้าง?

“เป้าหมายสำหรับตัวเอง คือเป็นคนที่ดีขึ้นครับ คนที่เวลาผมมองย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองได้ แล้วก็ทำสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ตั้งเป้าไว้ให้ได้มากเท่าที่จะทำได้

ส่วนเป้าหมายในเรื่องของหน้าที่การงาน ผมอยากลองทำเบื้องหลัง อยากเอาประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาทั้งชีวิต ปรับเป็นชิ้นงานของตัวเอง เขียนบท กำกับ หรือโปรดิวซ์ เริ่มต้นอาจจะทำร่วมไปก่อน แล้วค่อยๆพัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหม แต่จะไม่หยุดพัฒนาครับ เพราะนี่เป็นเป้าหมายใหม่ของผมไปแล้ว เป็นความฝันที่ตั้งใจพอๆกับควมฝันที่จะไปทำงานฮอลลีวูดเลยครับ ผมตั้งใจไว้แล้ว และหวังว่าจะพาตัวเองไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้”

อยากบอกอะไรแฟนคลับที่คอยซัพพอร์ตเรา?

“ผมรู้สึกขอบคุณเสมอ เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายให้โดยไม่ได้หวังผลอะไรตอบแทน ผมทำงานในวงการนี้มา 20 ปี บางคนอยู่กับผมซัพพอร์ตผมเรียกว่าเติบโตมาพร้อมกับผมยังได้เลย ทั้งที่ไทยและที่จีน อยู่ตั้งแต่ผมยังเรียนรู้ถูกผิด อยู่เคียงข้างวันที่ผมผิดพลาด วันที่ล้ม แล้วก็ยังยืนหยัดอยู่กับผมในทุกช่วงเวลา และยังอยู่จนวันนี้ที่ผมผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายมาก็ยังอยู่ซัพพอร์ตกัน บางคนรักเราเหมือนพี่เหมือนน้องไปแล้วก็มี ตอนผมไปทำงานที่จีน ผมทำงานไม่ได้สนใจตัวเองเท่าไหร่ ก็มีแฟนคลับที่จีนที่ให้กำลังใจให้ผมไม่รู้สึกแปลกแยก สนับสนุนงานผมที่จีนด้วย พวกเขามีพื้นที่ในใจผมเสมอ ผมขอบคุณเสมอ ขอโทษที่ผมเคยดีไม่พอ และพวกเขาคือส่วนนึงที่ผมตั้งใจจะเป็นคนที่ดีขึ้น ขอบคุณทุกคนที่ละคนไม่ทั่วถึง ผมหวังว่าผมในวันนี้จะไม่เป็นผมที่ทำให้พวกเขาเสียเวลาหรือผิดหวัง อย่างที่ผมเคยพูดไว้ อนาคตผมคงต้องผิดพลาดอีกไม่ว่าเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง แต่ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อขอบคุณทุกคน และเพื่อตัวเองด้วยครับ”

 

PR - ตารางคะแนน-2_B PR - ตารางคะแนน-2_B
TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ