ระเบิดฆ่าตัวตายร้านอาหารดีอาร์คองโก ขณะฉลองคริสต์มาส ดับ 8 เจ็บ 20
เมียนมาระอุ ทหารสังหาร-เผาพลเรือน
มาร์ติน กริฟฟิธส์ รองเลขาธิการสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ ทวิตข้อความประนามการกระทำของกองกำลังทหารเมียนมา โดยระบุว่า การสังหารและจุดไฟเผาพลเรือนผู้บริสุทธิ์ รวมถึงการโจมตีต่อประชาชนทั่วทั้งประเทศเป็นเรื่องต้องห้ามภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระดับนานาชาติและก่อนเรียกร้องให้ทางการเมียนมาเริ่มกระบวนการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดและโปร่งใสโดยทันที
ขณะที่สถานทูตสหรัฐฯ ประจำเมียนมาออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ รู้สึกตกใจกับ “การโจมตีอันป่าเถื่อนในรัฐกะยา ซึ่งได้สังหารพลเรือนอย่างน้อย 35 รายรวมถึงผู้หญิงและเด็ก และระบุว่า สหรัฐจะเดินหน้ากดดันเพื่อหาความรับผิดชอบของผู้ใช้ความรุนแรงต่อประชาชน
เหตุการณ์สังหารหมู่พลเรือนอย่างน้อย 35 คน เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาใกล้กับหมู่บ้านโมโซ เมืองพะยูโซ รัฐกะยา ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ โดยหลายฝ่ายรายงานตรงกันว่า ทหารเมียนมาสังหารและจุดไฟเผาคนเหล่านั้นจนร่างกายไหม้เกรียม หนึ่งในพยานหลักฐานคือ ภาพศพที่ถูกเผาอยู่หลังรถบรรทุก 3 คัน
องค์กร Save the Children ระบุว่า รถที่เห็นเป็นรถขององค์กรที่ใช้รับส่งประชาชนและเจ้าหน้าที่ในช่วงวันหยุดยาว โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่สองคนของ Save the Children ยังคงสูญหายหลังรถยนต์ถูกโจมตีและเผาจนไหม้
การสังหารพลเรือนอย่างเหี้ยมโหดกำลังถูกประนามอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม สื่อทางการเมียนมารายงานว่า คนที่เสียชีวิตไม่ใช่พลเรือน แต่คือผู้ก่อการร้ายที่มีอาวุธ โดยผู้คนเหล่านี้อยู่บนยานพาหนะ 7 คันและไม่ยอมหยุดรถตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่
เหตุการณ์สังหารหมู่และเผาร่างพลเรือนในรัฐกะยาเกิดขึ้นไม่นานนานหลังจากที่เพิ่งมีรายงานว่า ทหารเมียนมาสังหารชาวบ้าน 11 คน และมีเด็กรวมอยู่ด้วย 5 คน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตสะกาย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ก่อนจุดไฟเผาร่างคนเหล่านี้ เพื่อตอบโต้ชาวบ้านที่ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
ความรุนแรงและการปะทะในรอบนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่า จุดเริ่มต้นเกิดจากการที่ทหารเมียนมาได้เข้าไปในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเคเอ็นยูเพื่อตรวจค้นและจับกุมผู้ต่อต้านรัฐบาลทหาร คนเหล่านี้จำนวนมากเป็นคนหนุ่มสาวที่ลงถนนประท้วงการทำรัฐประหารตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์แต่ถูกปราบปรามอย่างหนักจนต้องหนีเข้าป่ามาฝึกอาวุธและการรบกับกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเคเอ็นยู และจัดตั้งกองกำลังขึ้นในนามของกองกำลังประชาชนหรือ PDF
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ทหารเมียนมาเปิดปฏิบัติการโจมตีเคเอ็นยูและกองกำลัง PDF ในจุดนี้อย่างหนัก มีการยิงอาวุธปืน ค.120 และ ค.81 ลงพื้นที่เคเอ็นยูเป็นระยะ ๆ หลังจากก่อนหน้านั้นได้ใช้เครื่องบินรบมิก-29 ทิ้งระเบิด และเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ลำ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศบริเวณบ้านโซซีเมี่ยน ตรงข้ามบ้านแม่กุใหม่ หมู่ที่ 9 ต.แม่กุ และบ้านเลเตอก่อ ตรงข้ามบ้านดอนชัย ต.แม่ตาว อ.แม่สอดอย่างหนัก
การใช้ปฏิบัติการทางอากาศของรัฐบาลทหารเมียนมาก็เพื่อปราบกลุ่มต่อต้านให้สิ้นซากหลังจากกลุ่มดังกล่าวลุกขึ้นจับอาวุธเปิดหน้าสู้
กองกำลัง PDF ร่วมกับกองกำลังชาติพันธุ์หลายกลุ่มโดยเฉพาะกะเหรี่ยงเริ่มปฏิบัติการตอบโต้ทหารเมียนมาที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนหลังจากรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติหรือรัฐบาลเงาประกาศสงครามกับรัฐบาลทหารเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา
การปะทะกันเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ เช่นที่เมืองกั่นกอ (Gangaw) ในภูมิภาคมะกเว เมื่อวันที่ 10 กันยายน ทหารเมียนมาสังหารกองกำลัง PDF ไปอย่างน้อย 13 ราย บางคนมีอายุ 14-16 ปีเท่านั้น หลายคนถูกยิงที่ด้านหลังของศีรษะ ขณะที่มือทั้งสองข้างถูกมัดไว้ด้านหลัง
อีกจุดหนึ่งที่มีการปะทะกันคือ ในรัฐชิน เป็นจุดที่กองทัพเมียนมาใช้เครื่องบินโจมตีทางอากาศเช่นเดียวกับที่ทำใหนรัฐกะเหรี่ยง คราวนั้นชาวบ้านหลายร้อยคนต้องหนีไปยังรัฐมิโซรัมของอินเดีย
ก่อนหน้านี้มีนักวิเคราะห์หลายคนประเมินแล้วว่า เมียนมาจะเดินทางมาถึงจุดนี้ การจับอาวุธลุกขึ้นสู้ของประชาชนที่ถูกปราบปราม เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์มองว่า คือทางเดียวที่เหลืออยู่ และรัฐบาลทหารเมียนมาก็จะไม่ยอมและพร้อมที่ใช้ทุกทางในการปราบปราม และอีกประเด็นหนึ่งที่จะทำให้สถานการณ์ในเมียนมาล่อแหลมและเลวร้ายยิ่งขึ้นคือ การตัดสินคดีของนางอองซานซูจี
เลื่อนตัดสินคดี “ซูจี” อีกครั้ง นายแบบดัง “ไป่ ทาคน” ถูกจำคุก
โดยวันนี้ ศาลเมียนมาเลื่อนการพิจารณาคดีนางอองซาน ซูจี อีกครั้ง ในข้อกล่าวหาการลักลอบนำเข้า ครอบครองเครื่องรับส่งวิทยุสื่อสารที่ไม่มีใบอนุญาตและเครื่องรบกวนสัญญาณ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดเป็นเวลา 3 ปีและ 1 ปี ตามลำดับ โดยจะเลื่อนไปตัดสินวันที่ 10 มกรา 65 แทน ก่อนหน้านี้ศาลได้เลื่อนการไต่สวนจากกำหนดเดิม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมมาเป็นวันนี้ แต่ก็เลื่อนอีกครั้ง
เมื่อต้นเดือนธันวาที่ผ่านมา นางซูจี เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ วัย 76 ปี และอดีตประธานาธิบดีวิน มยินต์ รับโทษจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ในความผิดฐานละเมิดกฎหมายภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการยุยงปลุกปั่นให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านกองทัพ ก่อนที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะลดหย่อนโทษ เหลือจำคุกเพียงคนละ 2 ปี ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม
และมีรายงานจาก BBC Burmese ว่า ไป่ ทาคน ดาราและนายแบบชื่อดัง ถูกศาลทหารตัดสินลงโทษจำคุก 3 ปี และต้องถูกใช้แรงงานหนัก โดยเขาถูกตั้งข้อหาฐานขัดขืนโดยการหยุดงานประท้วง หรือเข้าร่วม สนับสนุน หรือกดดันให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหยุดงานประท้วง ก่อนหน้านี้เขาถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำอินเส่ง ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา