พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยถึง การสำหรับการลงทะเบียนซิมการ์ดในระบบ 2 แชะอัตลักษณ์ครั้งนี้ เป็นมาตรการของ กสทช.โดยตรง ส่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้านั้น เป็นผู้ที่รับทราบ และให้ความร่วมมือในการแจ้งข่าวสารไปยังประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้การลงทะเบียนซิมการ์ดระบบ 2 แชะ อัตลักษณ์นั้น ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแต่อย่างใด ใครจะลงทะเบียนก็ได้ หรือใครจะไม่ลงทะเบียนก็ได้ แต่ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียน หลังวันที่ 31 ต.ค. ก็จะใช้การสื่อสารในระบบของโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ได้
สำหรับวิธีการลงทะเบียน 2 แชะ อัตลักษณ์ ก็คือการสแกนใบหน้าเพิ่มเติมเข้ามาจากบัตรประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทาง กสทช. ได้มีการประชาสัมพันธ์เชิญชวน ผู้ที่ใช้บริการได้ไปลงทะเบียนเปลี่ยนตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ต้องใช้หลักฐาน 2 ตัว ตัวที่ 1 คือ บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง ตัวที่ 2 ก็คือมีการสแกนใบหน้า สแกนใบหน้าเพื่อจะตรวจสอบอัตลักษณ์ กรณีมีบุคคลที่ไม่หวังดีหรือกลุ่มมิจฉาชีพได้ขโมยบัตรประจำตัวประชาชนของเราเพื่อไปเปิดซิมการ์ดเขาก็สามารถเช็คได้ นอกจากนี้ยังมีระบบการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลของเราโดยการสมัครในแอพพลิเคชั่น กสทช. ก็สามารถตรวจสอบได้หมดว่าในบัตรประจำตัวประชาชนของเรามีซิมการ์ดที่เราใช้อยู่จำนวนกี่ใบ
กอ.รมน.ภาค 4 เผยคนร้ายปล้นเต็นท์รถ 7 คัน เร่งหาอีก 3 คันหวั่นวางบึ้ม
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าแถลงความคืบหน้าเหตุบึ้มเอทีเอ็ม
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจงกรณีห้ามใช้ถังแก๊สเหล็ก 3 จว.ภาคใต้
พ.อ.ปราโมทย์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทะเบียนเพื่อเป็นการยืนยันตัวบุคคล ที่ยืดถือครอบครองหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้อื่นขโมยบัตรประชาชน ไปเปิดหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อนำไปใช้ในทางที่อาจจะก่ออาชญากรรม หรือการฉ้อโกงผ่านระบบออนไลน์ได้ รวมไปถึงกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ หรือกลุ่มผู้ก่อเหตุในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาก็พบว่า มีหลายคดี ที่นำบัตรประชาชนผู้อื่นไปจดทะเบียนซิมการ์ด แต่เจ้าของบัตรประชาชนไม่ทราบ ทำให้เจ้าของบัตรนั้น มีความสูญเสียทรัพย์สิน หรือยังโดนคดีความอีกด้วย สำหรับผู้ที่ออกมาคัดค้านหรือต่อต้านมาตรการดังกล่าวนี้ ก็ต้องกลับไปศึกษาข้อมูลให้ชัดเจนอีกครั้งว่า การลงทะเบียนซิมการ์ดนั้น ใครจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หรือใครเป็นผู้เสียผลประโยชน์กันแน่
