ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี (GDP) ของจีน ประจำไตรมาส 2 ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนของปี 2019 ขยายตัว 6.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน ถือเป็นการเติบโตในระดับต่ำสุดในรอบ 27 ปี เนื่องจากอุปสงค์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ซบเซาลงจากผลกระทบของการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ สร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนและตลาดการเงินที่จับตามองว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดใหญ่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกแห่งนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกได้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของจีนที่เปิดเผยออกมาในวันนี้ สอดคล้องกับคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ก่อนหน้านี้ที่ประเมินว่า จีดีพีประจำไตรมาส 2 จะอยู่ที่ 6.2 เปอร์เซ็นต์ ชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ซึ่งขยายตัวในระดับ 6.4 เปอร์เซ็นต์ โดยนักวิเคราะห์ยังระบุด้วยว่า เศรษฐกิจของจีนจะเผชิญภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะกลับมามีสเถียรภาพอีกครั้งในช่วงกลางปี 2020 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลปักกิ่งจะดำเนินนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยการกระตุ้นการบริโภค การลงทุนและฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ
ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนที่ทั้งสองประเทศจะเห็นพ้องให้ฟื้นฟูการเจรจาการค้าระหว่างกันขึ้นอีกครั้งในที่ประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ณ ประเทศญี่ปุ่น