นายกรัฐมนตรีเดวิด แคเมอรอน ตระเวนปราศรัยโน้มน้าวให้ประชาชนลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคอนุรักษ์นิยม โดยขอให้ประชาชนเทคะแนนให้พรรคของเขาชนะอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพรรคแรงงานจะตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคชาตินิยมสก็อตแลนด์ (SNP) ที่สนับสนุนให้สกอตแลนด์แยกตัวเป็นเอกราช
นอกจากนี้ นายแคเมอรอนยังสัญญาว่าจะจัดลงประชามติตัดสินอนาคตของสหราชอาณาจักรในสหภาพยุโรป (อียู) หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ซึ่งนโยบายในการหาเสียงดังกล่าวทำให้ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ออกมาปรามอังกฤษว่าอังกฤษไม่อยู่ในสถานะที่จะนำเสนอวาระพิเศษใดๆ เกี่ยวกับความเป็นรัฐสมาชิกอียูได้ และอียูก็ไม่ต้องการให้อังกฤษแยกตัวออกไป
ขณะที่ นายเอ็ด มิลิแบนด์ หัวหน้าพรรคแรงงาน ยืนยันคัดค้านการลงประชามติดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร แต่จะสนับสนุนการปฏิรูปโครงสร้างของระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ให้มีความเป็นธรรมและเอื้อประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด
ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดยสำนักวิจัยยูกอฟ ร่วมกับหนังสือพิมพ์ "เดอะ ซัน" ปรากฎว่า พรรคอนุรักษ์นิยมมีคะแนนนิยมสีสูกับพรรคแรงงาน โดยมีคะแนนนำเพียงร้อยละ 34 ต่อ 33 ซึ่งคาดว่าไม่น่ามีพรรคใดครองเสียงข้างมากพรรคเดียวได้อย่างเด็ดขาด เสถียรภาพของรัฐบาลจึงอยู่ที่การทาบทามพรรคการเมืองขนาดเล็กเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ก็คือพรรคเสรีประชาธิปไตยภายใต้การนำของรองนายกรัฐมนตรี นิก เคลก พรรคชาตินิยมสก็อตแลนด์ รวมถึงพรรคเอกราชสหราชอาณาจักร (UKIP) ของนายไนเจล ฟาราจ ซึ่งต่อต้านสหภาพยุโรปและชูนโยบายสนับสนุนให้ประเทศถอยห่างจากอียู
อย่างไรก็ตาม บรรดาบริษัทรับพนันในอังกฤษต่างเปิดอัตราต่อรองสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้กันอย่างคึกคัก โดยยกให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันที่สูสีที่สุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งจะกระตุ้นให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และอาจสูงถึง 100 ล้านปอนด์ (ราว 5,050 ล้านบาท) สูงกว่าสถิติเดิมในการเลือกตั้งเมื่อปี 2553 ถึง 4 เท่า