การเดินทางไปร่วมกิจกรรม โครงการ พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน ปี 2562 ภายใต้แนวความคิด แตกตัวทั่วไทย สานพลังสามัคคี ปีที่ 7 ณ จังหวัดเลย นอกจากได้ลงมือเอามื้อเพื่อรักษาป่าต้นน้ำแล้ว สิ่งที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ การได้ชิมอาหารที่ถูกปรุงแต่งด้วยวัตถุดิบในท้องถิ่น 5 เมนู ที่ในทุกๆ คำ ในทุกๆ รสสัมผัส นอกจากความอร่อยเหนือคำบรรยายแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมหาศาลโดยที่เราไม่รู้ตัวอีกด้วย ถ้าไม่ได้ไปพูดคุยกับ เชฟโจ้ วรวุฒิ ตริยเสนวรรธน์ แห่งร้าน ซาหมวย & ซันส์ ผู้ซึ่งตั้งชื่อสำรับทั้ง 5 อย่างนี้ว่า “สำรับเชฟรอน”
รวมพลัง “เอามื้อ” ฟื้นฟูป่าต้นน้ำป่าสักจากสภาพเสื่อมโทรมสู่พื้นที่ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
ปั่นตามรอยพ่อ ปีที่ 7 ชื่นชมผลผลิตจากศาสตร์พระราชา
ที่มาของ “สำรับเชฟรอน” เพราะ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เป็นหนึ่งในหัวหน้าทีม พร้อมกับ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ของอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนายกสมาคมดินโลก หรืออาจารย์ยักษ์ ที่นำทุกๆ ภาคส่วน ทั้งส่วนราชการ เช่น นายไตรภพ โคตรวงษา ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กลุ่มอาสาสมัครคนมีใจ และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ขึ้นมาสัมผัสป่าภูหลวง อันเป็นต้นน้ำลุ่มน้ำป่าสักหนึ่งในลุ่มน้ำที่สำคัญของเมืองไทย และได้ลิ้มรสเมนูอาหารจากวัตถุดิบธรรมชาติท้องถิ่น และด้วยสไตล์การทำอาหารของ เชฟโจ้ ที่มีเอกลักษณ์เด่นในการนำพืชสมุนไพร ผักพืชบ้าน ผักริมรั้ว มาสร้างสรรค์เป็นเมนูอาหาร เลยออกมาเป็น 5 เมนู สำรับเชฟรอน
“เมนูมี 5 อย่าง ก็จริงแต่ Ingredient (ส่วนผสม) วัตถุดิบที่อยู่ข้างในแต่ละจานเยอะมาก วันนี้มีถึง 11 อย่าง” เชฟโจ้เริ่มต้นบทสนทนา
เริ่มกันที่ “ผัดกระเพราเนื้อตุ๋นใส่เร่วหอม” รังสรรค์เครื่องผัดกะเพราที่นอกจาก 3 เกลอ อย่าง รากกระเทียม ผักชี พริกไทย แล้ว เชฟโจ้ใส่ลูกกระวาน ดีปลี ดอกกะเพราขาว กะเพราแดง เข้าไปสมทบด้วยเพื่อช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ส่วนเร่วหอม พืชที่มี “รสเผ็ดแบบเย็น” ประเภทเดียวกับ ขิง ข่า ก็มีสรรพคุณทางยา ช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
เชฟโจ้ยังใช้พริกเขียวเพื่อสะท้อนความเป็นผัดกะเพราโบราณ แต่ที่สำคัญ พริกเขียวซึ่งให้น้ำมันหอมระเหยช่วยขับลม ทำให้ผัดกะเพราเนื้อตุ๋นจานนี้อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยาที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้รสชาติที่หอมอร่อยเมื่อรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ
ต่อมาเป็น “ต้มไก่บ้านใส่ตาว” หรือ หน่อตาว ที่เชฟโจ้หยิบมาสร้างความนัว ความนวล ให้กับอาหาร แต่มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ลักษณะคล้ายๆ ต้นปาล์ม ซึ่งหน่อตาวนี้ต้องทำให้สุกก่อนเนื่องจากมีฤทธิ์ร้อน และถึงแม้ว่าจะมีรสจืดแต่เมื่อต้มให้สุกจะให้รสหวานโดยธรรมชาติออกมา ในเมนูที่มีหน่อตาว ก็จะสัมผัสได้ถึงใบมะขาม น้ำมะขามเปียก รสอมส้มเล็กๆ ช่วยในการขับถ่าย มีความหวานธรรมชาติจากหอมแดง ส่วนหัวปลีก็เป็นพระเอกในการบำรุงเลือด ทำให้ต้มไก่บ้านใส่ตาวชามนี้ เชฟโจ้ บอกว่า
“ พอเรากินของขับถ่ายออก (น้ำมะขาม) ก็มีของไปบำรุงเลือด นี่คือภูมิปัญญาของคนไทยแค่ไม่มีใครไปแตกยอดของเขาออกมาเท่านั่นเอง ผมก็แจกแจงมันออกมาซะว่ากินทำไมรสนี้ รสนี้ออกอะไร รสนี้ไปแก้อะไร”
ต่อมาเป็น “ยำหมูย่างกับผักกูดขาว” ได้มาจากการที่เชฟหนุ่ม วีระวัฒน์ ตริยเสนวรรธน์ พี่ชายของเชฟโจ้ ซึ่งได้ชมพู่มาจาก ศูนย์กสิกรรมฯ เลยคิดว่าจะนำมาแกล้มกับยำหมูย่างกับผักกูดขาว รสชาติอมส้ม อมเปรี้ยว ผสมผสานความเผ็ดจากพริกน้ำยำ เป็นตัวบำรุงเพื่อเรียกน้ำย่อย ลดอาการกรดไหลย้อน
ตามมาติดๆด้วย “แกงหวายหน่อหวานปลาค้าว” จุดเด่นคือ หวาย หนึ่งในพืชที่คนเมืองอาจจะไม่คิดว่าจะนำมาทำอาหารรับประทานได้เพราะเราจะคุ้นเคยกับการนำมาใช้เป็นเครื่องสานของใช้ในบ้านมากกว่า ซึ่งครั้งนี้เชฟโจ้ หยิบมาปรุงให้ทานกันสดๆ เพราะฤทธิ์ของหวายจะมีรสขมบำรุงตับ ขับพิษไข้ได้
และที่ขาดไม่ได้เลยคือน้ำพริกตาแดง (ปรุงรสด้วยน้ำผักสะทอน) แนมปลายอนย่าง น้ำพริกตาแดงของเชพโจ้มีความพิเศษตรงน้ำผักสะทอนเป็นหนึ่งภูมิปัญญาน้ำปรุงรสที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวจังหวัดเลย ที่ อ. ด่านซ้าย และ อ. นาแห้ว ซึ่งเอามาทำน้ำหมักแทนปลาร้า ไล่ลมได้ ส่วนปลายอน เชฟโจ้บอกว่าเป็นปลาน้ำจืดที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำที่หายากมาก เพราะพื้นที่ที่วางไข่มักถูกลุกล้ำจากโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งเชฟโจ้ให้ชาวบ้านไปหาไว้ให้สดๆ เพื่อสำรับนี้โดยเฉพาะ
จบสำรับคาวเพื่อไม่ให้ขาดตอน เชฟโจ้ อธิบายถึง ของหวานต่อทันที เพราะ ...“ ผมเป็นคนชอบกินขนม แต่กินขนมของผมมันดีต่อสุขภาพ”
มื้อนี้เชฟโจ้เลยจัด ขนมสังขยาเสาวรส และแครกเกอร์กล้วยดองน้ำผึ้ง มาเสิร์ฟซึ่งตัวเสาวรสจะช่วยบำรุงม้าม ขับน้ำเหลือง ส่วนผงที่โรยมาจากผักหวานป่าอุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์สูงจากการอบในอุณหภูมิที่ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส ส่วนแครกเกอร์ทำมาจากกล้วยน้ำว้าดองเพื่อช่วยในการย่อยและไล่ลม ไม่เพียงเท่านั้น เชฟโจ้สังเกตผู้มาร่วมงานโครงการนี้ว่ามีอาการ
“ลมเยอะขึ้นที่หน้าผากอันเนื่องมาจากม้ามมีความชื่น เพราะเวลาเดินขึ้นเขาจะไม่ปล่อยลมหายใจ ลมหายใจสั้นและ กั้นลมหายใจ เลือดลมต่างๆ มันเดินไม่สะดวก ต้องบำรุงม้ามต้องใช้พืชที่เป็นสีเหลือง ขนมวันนี้จึงเป็นสังขยาเสาวรส รสอมส้มอมเปรี้ยว ตัดด้วยแครกเกอร์กล้วยดองน้ำผึ้ง”
ส่วนเครื่องดื่ม Welcome Drink “น้ำใบหูเสือผสมหมากเม่า” เชฟโจ้ใช้ใบหูเสือพืชที่ชอบความชื้นเล็กๆ แก้อาการไอ มีน้ำเก๊กฮวยบำรุงม้ามกับน้ำเหลือง มีน้ำขิง บำรุงไขข้อ บำรุงกระดูก ไล่เลือดลม ทำให้เลือดไหลหมุนเวียนได้ดี และ “น้ำใบย่านางผสมใบเตย” ที่มีตัวสมานยาเป็นน้ำตาลเล็กน้อย
ทั้งหมดคือเมนูสำรับเชฟรอนที่ทำให้เราอิ่มท้องแต่นอกจากอิ่มท้องพร้อมลุยต่อแล้วเรายังได้รับรู้ถึงความอิ่มใจด้วย เพราะสิ่งที่แฝงอยู่ในจานอาหารแต่ละเมนูของเชฟโจ้ล้วนมีสรรพคุณทางยาของพืชผักทุกชนิดสะท้อนแก่นแท้ของเมนูในทุกๆ จานอาหารให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
พร้อมๆกับความพยามยามสอดแทรกองค์ความรู้ด้านการต่อยอดสินค้าเกษตรให้พี่น้องเกษตรกรได้เห็น เช่น แครกเกอร์ที่ทำมาจากกล้วยน้ำว้า เป็นการนำกล้วยน้ำว้ามาแปรรูปสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าซึ่งเชฟโจ้ยินดีถ่ายทอดให้กับเกษตรกรที่สนใจนำไปต่อยอดสร้างรายได้ในครัวเรือน
“ พวกผมไม่มีกำลังแต่พวกผมมีสมอง สร้างสรรค์ ผมจะนำสิ่งเหล่านี้ไปบอกต่อ คุณจะทำไม่ทำไม่รู้ แต่จิตที่ผมตั้งจิตไว้แล้วคือผมแค่อยากช่วย ถ้าคุณจะหยิบยกสิ่งเหล่านี้ไปแล้วไปต่อยอดได้ ผมก็ได้บุญ ถ้าใครเห็น เฮ้ยอันนี้ดี เจ๋ง โทรมาคุยกัน ยินยอมที่จะช่วย รวมตัว รวมกลุ่มกันก็ได้ ดูอย่างประเทศญี่ปุ่นเขารวมตัวกัน สามารถต่อรองได้ว่าฉันจะเอาสินค้าตัวนี้ไปวางที่ไหนก็ได้ ฉันจะตั้งราคานี้คุณไม่มีสิทธิ์ เพราะฉะนั้นทำไมคนไทยถึงไม่ช่วยกันเรื่องนี้ ขยันปลูก ขยันสร้างแต่ไปแปรรูปไม่ได้ สุดท้ายก็หมดกำลังใจ ปลูกแล้วขายไม่ได้ ทำอย่างไรที่นี่ ยากแล้ว เราก็เปลี่ยนซะ รวมตัวกันเพิ่มมูลค่า มาคุยกันครับ พวกผมเป็นเชฟเป็นคนทำอาหาร พวกผมเปลี่ยนทุกอย่างบนโลกให้มันกินได้"
ซึ่งพลังของการให้เชฟโจ้ได้รับการถ่ายทอดมาจาก อาจารย์ยักษ์ บุคคลที่เขาสัญญากับตัวเองว่า
“ ตอนอยู่เมืองนอกตั้งใจกลับมากราบอาจารย์เป็นลูกศิษย์และขอว่าสักวันหนึ่งถ้าเราเดินออกจากรั้วมาบเอื้องไป จะตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินกับอาจารย์ยักษ์อย่างไร”
ซึ่งวันนี้เชฟโจ้ได้เดินตามความตั้งใจนั้นแล้วในฐานะ เชฟผู้ให้ด้วยการนำองค์ความรู้ของตัวเองมาต่อยอดกับศาสตร์พระราชา และพร้อมถ่ายทอดแบ่งปันให้กับชาวบ้าน เกษตรกร สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพย์สินอันมีค่าที่มีอยู่แล้วบนแผ่นดินไทยเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน เพราะ...
“แผ่นดินไทยมีทรัพย์ในดิน มีสินในน้ำ เป็นทองคำขาว แต่เรากลับไปมองทองคำเป็นพระเจ้า มองเงินตราเป็นพระเจ้า ผมว่า พออยู่พอกิน เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเอาเงินไปให้หมอ ให้ประกันชีวิต สุดท้ายคุณก็ยังป่วยทุกวันนี้” เชฟโจ้กล่าว
สุดท้ายผลของการให้เชฟโจ้ ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนมากมายทำตาม แต่อย่างน้อยมีสักคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าครอบครัว นำสิ่งเหล่านี้ไปช่วยให้บ้านเขาพออยู่ พอกิน มีชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำสอนของ อาจารย์ยักษ์ที่ปลูกฝังเสมอมาว่า “ทำดีอย่าอวดดี ถ้ามีดีค่อยอวด ค่อยว่ากัน แต่เรามีดีให้อวดแล้วเราไปบอกต่อให้คนอื่นเขาจะได้ทำต่อ”
เป็นคำทิ้งท้ายหลังมื้ออาหารวันนั้นบนภูหลวงจากสำรับเชฟรอนที่ทำให้ “อิ่มท้อง อิ่มใจและมีคุณค่า”