เมื่อวันที่ (2 ต.ค.62) ห้องจัดงานเลี้ยง ภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่นายนัท ผู้ที่อ้างตัวว่า เป็นเจ้าของธุรกิจ มูลค่าทรัพย์สินรวมกว่าหมื่นล้านบาท เช่าเพื่อจัดงานแต่ง กับผู้เสียหาย ก่อนหายตัวไป และปล่อยให้ฝ่ายหญิงจ่ายเงินฝ่ายเดียวกว่า 3 ล้านบาท
สาวถูกชายอ้างเป็นเสี่ย 2 หมื่นล้าน หลอกแต่งงานเป็นหนี้ 3.5 ล้าน
นายวสันต์ เทพนคร เจ้าของโรงแรมเล่าว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายนัม และผู้เสียหายเข้ามาติดต่อ พร้อมตกลงค่าสถานที่และอาหาร เพื่อจัดงานหมั้นเช้า และงานแต่งช่วงเย็น รวมเป็นเงินเกือบ 400,000 บาท โดยขณะที่มาติดต่อ นายนัทอ้างว่า ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องบินเช่าเหมาลำไทย-ฮ่องกง โดยรอเงินจากหุ้นส่วนที่จะโอนมาให้ หลังเสร็จงานจะจ่ายเงินให้กับโรงแรม ซึ่งจากท่าทางที่ดูภูมิฐาน พนักงานฝ่ายขายหลงเชื่อ และยอมให้จัดงานโดยไม่ได้เก็บเงินมัดจำ แต่เมื่อเสร็จงาน พนักงานติดต่อขอเก็บเงิน กลับถูกบ่ายเบี่ยงและถึงขั้นปิดโทรศัพท์มือถือ หลังทราบเรื่อง รู้สึกสงสารฝ่ายหญิงและครอบครัว จึงยอมให้ผ่อนชำระค่าใช้จ่าย เบื้องต้นจ่ายมาแล้ว 80,000 บาท
แม่พริตตี้สาว เชื่อ เสี่ยกำมะลอ 2 หมื่นล้าน เจตนาหลอกลูกสาวแต่งงาน จนเป็นหนี้
ขณะที่แม่ของผู้เสียหาย ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ จังหวัดบุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปพูดคุย พบว่า สภาพบ้านมีความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก และต้องดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียง พร้อมเล่าว่า เคยพบเจ้าบ่าวแค่ครั้งเดียวก่อนแต่งงาน ซึ่งไม่ได้แต่งตัวโก้หรูหรือมีทองใส่ เพียงแต่ลูกสาวบอกว่ารวย จากนั้นก็จัดงานแต่งกันเอง ทางครอบครัวแค่ไปร่วมงาน ส่วนสินสอดใส่ในพานเป็นเช็คเงินสดจำนวน 1.6 ล้านบาท หลังเสร็จงานไม่ทราบว่าเช็คเงินสดอยู่กับใครหรือหายไปไหน ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ดีใจที่ลูกได้แต่งงาน แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เสียใจและสงสารลูกสาวมาก ก็อยากให้ฝ่ายชายออกมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดงานด้วย
นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เพื่อขอความเป็นธรรมและปรึกษาทางด้านคดี เล่าว่าผู้เสียหายเจอกับเจ้าบ่าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในวันที่15 มี.ค. และขอแต่งงานในวันที่ 16 มี.ค. หลังจากนั้นจึงได้ตกลงไปจดทะเบียนสมรสกันที่เขตห้วยขวาง วันที่ 26 มี.ค.และจัดงานแต่ง วันที่ 10 พ.ค. ที่โรงแรมใน จ.บุรีรัมย์ โดยหลังจัดงานผู้จัดได้ทวงค่าใช้จ่าย ทำให้ผู้เสียหายต้องออกไปก่อน 700,000 บาท ซึ่งเธอได้รับความเสียหายอย่างมากเนื่องจากหนี้สินจากการจัดงานแต่งครั้งนี้ รวมแล้วกว่า 3.5ล้านบาท
ประกอบด้วย การจ้างออร์แกไนซ์ 2,680,000 บาท, ค่าโรงแรม 380,000 บาท, ค่าดนตรี 120,000 บาท, ค่าเครื่องดื่ม 50,000 บาท, ค่าชุดเจ้าสาว 52,000 บาท และค่าชุดเพื่อนเจ้าสาว 35,000 บาท นอกจากนั้นมีค่าทองคำหมั้น น้ำหนัก 25 บาท ราคารวม 860,000 บาท และเช็คเงินสด 1.6 ล้านบาท ที่เป็นค่าสินสอด
ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบพบว่า ทรัพย์สินทองหมั้น เป็นของที่ยืมมาประกอบในงานพิธี ส่วนเช็คเงินสด 1.6 ล้านบาท พบว่าเช็คเด้ง หรือไม่สามารถขึ้นเงินได้ ซึ่งยังไม่มีหลักฐานว่าฝ่ายชายได้ผลประโยชน์ใดจากเรื่องนี้ มีเพียงให้ฝ่ายหญิงเป็นคนจ่ายค่าจัดงาน แต่ไม่ได้หลอกเงิน หรือนำทรัพย์สินของฝ่ายหญิงไป นอกจากการหวังสร้างโปรไฟล์ ให้เป็นคนมีฐานะ ดีเท่านั้น
นอกจากนี้มีข้อมูลว่าระหว่างที่รู้จักกัน 2 เดือนก่อนเข้าพิธีแต่งงาน ทางฝ่ายเจ้าบ่ายได้ให้ค่าเลี้ยงดูกับครอบครัวผู้เสียหายเดือนละ 70,000 บาท รวมถึงบริษัทออแกไนซ์ที่จัดงานแต่ง เคยจัดงานอื่นให้เจ้าบ่าวรายนี้มาแล้ว โดยขณะนี้ทราบว่า เจ้าบ่าวคนดังกล่าวยังติดต่อกับผู้เสียหายโดยอ้างว่ากำลังรอเงินจากธุรกิจที่ทำในต่างประเทศ เบื้องต้นมีความผิดทางกฎหมายแพ่งว่าด้วยเรื่องการผิดสัญญา การชดใช้ค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นฝ่ายหญิงได้จดทะเบียนก่อนการแต่งงานทำให้ต้องร่วมชดใช้ค่าเสียหายครึ่งนึงด้วย