เป็นที่น่าตกใจกับข่าวการเกิดความรุนแรงในโรงพยาบาล ทั้งๆที่เป็นสถานที่ที่ควรปลอดอาวุธ ปลอดความรุนแรง แม้แต่ในยามสงครามยังต้องละเว้นโรงพยาบาลให้เป็นที่ปลอดภัยที่สุด แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลของรัฐในช่วงที่ผ่านมาดูจะไม่เป็นเช่นนั้น
ถอดบทเรียนแก้ปัญหายกพวกตีกันในโรงพยาบาล
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยสถานการณ์ความรุนแรงในสถานพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ย้อนหลัง 7 ปี ตั้งแต่พ.ศ.2555-2562 รวมเกิดเหตุรุนแรงทั้งสิ้น 64 เหตุการณ์ แบ่งเป็น
1.ทะเลาะวิวาท 29 เหตุการณ์
2.ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 21 เหตุการณ์
3.ทำลายทรัพย์สิน 1 เหตุการณ์
4.ก่อความไม่สงบ 1 เหตุการณ์
5.กระโดดตึก 6 เหตุการณ์
6.อื่นๆ 6 เหตุการณ์
โดยผลจากความรุนแรงทำให้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 15 ราย ขณะที่ประชาชนก็ได้รับผลกระทบถึงขั้นเสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บ 58 ราย
ทั้งนี้ แยกเหตุการณ์เป็นรายปีได้ดังนี้
ปี 2562 จำนวน 26 เหตุการณ์
ปี 2561 จำนวน 17 เหตุการณ์
ปี 2560 จำนวน 10 เหตุการณ์
ปี 2559 จำนวน 4 เหตุการณ์
ปี 2558 จำนวน 7 เหตุการณ์
ปี 2557 จำนวน 1 เหตุการณ์
ปี 2556 ไม่เกิดเหตุการณ์
ปี 2555 จำนวน 1 เหตุการณ์
โดยเหตุการณ์ล่าสุด คือ วัยรุ่นทะเลาะวิวาทกันในห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน รพ.อ่างทอง โดยมีผู้บาดเจ็บมา 1 ราย มีแผลที่ใบหน้ามารับบริการที่ห้องฉุกเฉิน จากนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 5 คนตามเข้ามาที่ห้องฉุกเฉิน รพ. แม้มี รปภ.แต่ไม่สามารถกันกลุ่มวัยรุ่นได้ จนเกิดเหตุทะเลาะวิวาท จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวน 4 นายเข้ามาระงับเหตุ
ปลัดสธ.กำชับ รพ.ใกล้สถานที่จัดงานลอยกระทง คุมเข้มไม่ให้มีเหตุวิวาทในรพ.
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการห้ามยอมความ ต้องเอาผิดถึงที่สุด พร้อมเตรียมทำระบบในการเชื่อมสัญญาณตรงจากโรงพยาบาลไปถึงสถานีตำรวจ กรณีเกิดเหตุการณ์รุนแรง เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ด้าน นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ประกาศเอาผิดถึงที่สุด และจำเป็นต้องมีมาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อลดความรุนแรง เพิ่มความปลอดภัยเจ้าหน้าที่และผู้ที่มารับบริการ หากเกิดกรณีความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สินในโรงพยาบาล ให้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุทันที ตามกฎหมาย ม.360 ม.364 และม.365 มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี โดยให้ทุกโรงพยาบาลในสังกัดเตรียมความพร้อม หากเกิดกรณีความรุนแรงให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาด
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางด้านของโรงพยาบาล(รพ.)พหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี เตรียมความพร้อมเช่นกัน โดย นพ.สมเจตน์ เหล่าลือเกียรติ ผอ.รพ.พหลพลพยุหเสนา กล่าวว่า เราเตรียมความพร้อมโดยห้องฉุกเฉินทำเป็นห้งอ 2 ชั้น เรามีระบบเชื่อมโยงสัญญาณถึงสถานีตำรวจ หากมีเหตุการณ์ก็สามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็ว มีเบอร์สายตรงตำรวจ มีทางออกฉุกเฉินหลายช่องทางให้กับเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม อยากฝากว่า รพ.เป็นสถานที่ควรละเว้นในการก่อความรุนแรง เพราะรพ.เป็นที่ช่วยชีวิต ไม่ใช่มาทะเลาะวิวาท แต่ถ้าเกิดเหตุขึ้น ท่านปลัดสธ.สั่งการต้องเอาเรื่องถึงที่สุด ต้องถูกจับติดคุก
สำหรับมุมมองของผู้ปฏิบัติการห้องฉุกเฉินที่ต้องช่วยชีวิต และต้องรักษาชีวิตตัวเองและผู้ป่วยกรณีเกิดเหตุรุนแรง โดย น.ส.กาญจนภรณ์ จันทรชัย พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.พหลพยุหเสนา เล่าว่าปฏิบัติงานที่ห้องฉุกเฉินเข้าปีที่ 21 ว่า ที่ผ่านมาก็มีเหตุการณ์เล็กๆน้อย มีทั้งการใช้คำพูดที่รุนแรง อาจไม่พอใจในเรื่องของการบริการ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่มาก ยิ่งเทศกาลต่างๆ ด้วยผู้ป่วยจำนวนมาก ขณะที่เจ้าหน้าที่มีจำนวนน้อย เมื่อผู้ป่วยที่อาจดื่มสุรามา และไม่พอใจเวลารอนานๆ ซึ่งหากมีการคุกคามด้วยคำพูดหรือกิริยายังพอพูดคุยได้ แต่บางรายมีทำลายอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องวัดความดันก็มี ซึ่งตรงนี้ก็จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาคอยจัดการ แต่เราก็ต้องดูแลความปลอดภัยตัวเองด้วย
การทำงานในห้องฉุกเฉิน เราดูแลผู้ที่มีภาวะวิกฤตจริงๆ ซึ่งใจของบุคลากรเราก็ต้องดูแลผู้ป่วยทั้งกาย และใจ แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องการความปลอดภัยของตัวบุคลากรเองด้วย
“ในเรื่องของความปลอดภัยนั้น ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณผู้อำนวยการ รพ.ที่เล็งเห็นความสำคัญ เพราะได้มีการจัดทำประตู 2 ชั้น กันอีกด่านหนึ่ง และมีรปภ.ด่านหน้าดูแล แต่อยากให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติม อย่างช่วงเทศกาลอยากให้แวะเวียนมาดูความปลอดภัยผลัดกันมาใน 24 ชั่วโมง หรือในช่วงพลบค่ำจะมีผู้ป่วยอุบัติเหตุเยอะมาก ประมาณหลัง 6 โมงเย็นจนถึงเช้า อย่างเรื่องโทษสำหรับผู้ที่ก่อความรุนแรงในรพ.นั้น ก็ควรเพิ่มโทษมากกว่ากฎหมายทั่วไป 2 เท่าหรือไม่” น.ส.กาญจนภรณ์ กล่าว
นักวิชาการ ชี้ 7 วันอันตราย แม้ตายลดลง แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย