กรณี พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ถูกทางการญี่ปุ่นจับกุมข้อหา พกอาวุธปืน ที่สนามบินนาริตะ หลายฝ่ายได้ประสานไปยังทางการญี่ปุ่น เพื่อให้การช่วยเหลือโดยกองการต่างประเทศของไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ทำได้เพียงแค่ประสานทางการทูต และยืนยันทางเอกสารว่าเคยดำรงตำแหน่งเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจริง
โดยช่วงที่กระบวนการทางกฎหมายของญี่ปุ่นดำเนินการอยู่นั้น พลตำรวจโทคำรณวิทย์ จะถูกควบคุมตัวภายใน 20 วัน แต่คาดว่าในวันนี้น่าจะมีความชัดเจนว่าทางการญี่ปุ่นจะสั่งฟ้องหรือไม่ หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่้งเจ้าตัวต้องรับโทษ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่นเสียก่อนจึงจะปล่อยตัวกลับไทยได้
ด้าน นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด กล่าวว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พบว่าพลตำรวจโท คำรณวิทย์ ได้ผ่านขั้นตอนการเอ็กซ์เรย์กระเป๋าเดินทางตามปกติ โดยให้ความร่วมมือในการตรวจเป็นอย่างดีโดยยืนยันว่า ขณะที่ผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ไม่พบอาวุธติดตัวขึ้นเครื่อง ส่วนกระเป๋าที่เป็นกระเป๋าเป้ก็ผ่านการตรวจจากเครื่องซีทีเอ็กซ์ ซึ่งพบว่า มีเพียงโทรศัพท์มือถือ หูฟัง ที่ชาร์จแบตเตอร์รี่ ไม่มีอาวุธปืน ส่วนการโหลดสัมภาระเข้าในพื้นที่ใต้ท้องเครื่องบินก็ไม่พบอาวุธปืนเช่นกัน
นายประสงค์ยืนยันว่า การพกอาวุธปืนขึ้นเครื่องจะต้องมีการสำแดงอาวุธ ซึ่งแต่ละสายการบินจะเป็นผู้เก็บรักษา และส่งมอบคืนเมื่อถึงปลายทาง โดยยืนยันว่า การตรวจสอบอาวุธได้มาตรฐานสากล และมาตรฐานการบิน
ส่วนการชี้แจงกับICAOนั้น นายประสงค์ระบุว่า หากต้องชี้แจงก็ต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง แต่ยืนยันว่าการตรวจสอบเป็นไปตามมาตรฐานการบิน
ด้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าว่า กำลังตรวจสอบว่าอาวุธผ่านการตรวจสอบได้อย่างไร มีการละเว้นหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องการลักลอบนำสิ่งของขึ้นเครื่องบิน เป็นความผิดส่วนบุคคล จึงไม่อยากให้นำไปเชื่อมโยงกับการตรวจสอบขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ไอเคโอ
ความคืบหน้าล่าสุดจากเว็บไซต์ข่าวของญี่ปุ่น ระบุว่า ทางการญี่ปุ่นได้ควบคุมตัว พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ออกจากห้องกักภายในสนามบินนาริตะ ไปคุมตัวต่อที่ห้องควบคุมของสถานีตำรวจชิบะแล้ว เนื่องจากตำรวจเสนอให้อัยการมีคำสั่งผัดฟ้องครั้งที่ 1 และควบคุมตัวต่ออีก 10 วันก่อนนำคดีขึ้นสู่ศาล