นายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงร่วมกับ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน หลังการประชุมในกรุงวอชิงตัน เพื่อผลักดันร่างมาตรการคว่ำบาตรฉบับใหม่ต่อเกาหลีเหนือ โดยขณะนี้ร่างมาตรการคว่ำบาตรยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ก่อนที่จะส่งต่อให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติพิจารณา และหวังว่าจะผ่านมติของสหประชาชาติได้โดยเร็ว
โดยทั้งจีนและสหรัฐฯยืนยันว่า มาตรการคว่ำบาตรฉบับใหม่จะมีความรุนแรงมากพอ ที่จะกดดันให้เกาหลีเหนือทบทวนนโยบายพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และหันมาร่วมโต๊ะเจรจา 6 ฝ่ายได้อีกครั้ง โดยนายแคร์รี่ ระบุว่า ร่างมาตรการคว่ำบาตรฉบับนี้จะไม่เหมือนกับมาตรการใดๆ ที่สหประชาชาติเคยเห็นชอบมาก่อน
ที่ผ่านมา แม้จีนจะตำหนิเกาหลีเหนือที่ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ แต่ก็มักจะสงวนท่าทีเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรที่อาจกระทบความสัมพันธ์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยนายหวังระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงเกินไป จะทำให้ประชาชนเกาหลีเหนือประสบกับวิกฤตด้านมนุษยธรรม และอาจทำให้สถานการณ์ซับซ้อนและวุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีก
นายหวัง ยังกล่าวอีกว่า การเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของสหรัฐฯ และการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการเพื่อทดแทนข้อตกลงหยุดยิงที่จัดทำขึ้นหลังสงครามเกาหลีสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกาหลีเหนือเรียกร้อง ควรดำเนินควบคู่กันไป พร้อมย้ำว่ามติสหประชาชาติเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้
ขณะเดียวกันรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ยังคงยืนยันถึงความเหมาะสมในการพิจารณาติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD เพื่อคุ้มกันเกาหลีใต้ โดยย้ำว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการที่จะติดตั้งระบบดังกล่าว หากไม่ใช่เป็นเพราะพฤติกรรมยั่วยุจากเกาหลีเหนือ
ในส่วนของกรณีพิพาทเรื่องการอ้างสิทธิหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ สหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้จีนและประเทศคู่ขัดแย้งร่วมกันหาทางลดความตึงเครียด และหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้สถานการณ์รุนแรงมากไปกว่านี้
ขณะที่จีนระบุว่า เสรีภาพในการเดินเรือในน่านน้ำทะเลจีนใต้ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา ส่วนการทำให้ทะเลใต้เป็นพื้นที่ปลอดกำลังทหารต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งนายหวัง กล่าวว่า ทุกวันนี้ ทุกสายตาเอาแต่จับจ้องที่ความเคลื่อนไหวของจีน แต่มองข้ามการส่งยุทโธปกรณ์มาประจำการโดยประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม จีนและสหรัฐฯ ก็สามารถร่วมมือกันได้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
