“เทศกาลสงกรานต์” นอกจากจะเป็นวันปีใหม่ไทย ในขณะเดียวกันยังตรงกับวันผู้สูงอายุและวันครอบครัว ช่วงนี้คนไทยทั่วประเทศจึงเดินทางสัญจร ใช้รถใช้ถนนเพื่อกลับสู่ภูมิลำเนา และออกท่องเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดยาว ประกอบกับการจัดงานเพณีรื่นเริง ซึ่งส่วนใหญ่มักมีการดื่มสุราร่วมด้วย จึงเป็นปัจจัยเสริมที่ก่อให้การเกิดอุบัติเหตุทางถนนมากกว่าปกติ
สถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ระหว่างวันที่ 11 – 17 เม.ย. เกิดอุบัติเหตุมากถึง 15,537 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บกว่า 16,620 ราย เสียชีวิต 1,598 ราย
แม้ว่าที่ผ่านมาทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันรณรงค์วางมาตรป้องกัน และดำเนินการด้านต่างๆ เพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุและการเสียชีวิต แต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถลด ปริมาณความสูญเสียลงได้อย่างที่ตั้งใจ เพราะจากการรวบรวมข้อมูลระหว่างปี 2556 – 2558 พบว่าในช่วง 7 วันอันตราย เฉลี่ยแล้วเกิดอุบัติเหตุวันละ 438 ครั้ง บาดเจ็บ 468 ราย และเสียชีวิต 48 ราย
“ภาพรวมการเกิดอุบัติทางถนน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ในปีที่ผ่านมา ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.) สรุปว่า ในปี 2558 เกิดอุบัติเหตุ 3,337 ครั้ง บาดเจ็บ 3,559 ราย เสียชีวิต 364 ราย โดยกว่า 40% เกิดจากการเมาแล้วขับ รองลงมากว่า 25% เกิดจากการขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนด” นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ(สคอ.) ระบุถึงภาพรวมความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์
อย่างไรก็ตาม แม้ข้อมูลตัวเลขและสถิติข้างต้นจะเป็นสิ่งที่คนไทย ได้รับการสื่อสารย้ำเตือนซ้ำๆ ทุกปี แต่เพราะจำนวนอุบัติเหตุที่ยังสูง การรณรงค์และวางมาตรการเข้ม เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จึงเป็นสิ่งที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง
ผู้อำนวยการ สคอ. ชี้ว่า “แม้การขับรถเร็วเกิดกว่ากฎหมายกำหนด จะเป็นสาเหตุอันดับ 2 ของภาพรวมการเกิดอุบัติช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่หากวิเคราะห์เจาะลึกแยกพื้นที่การเกิดอุบัติเหตุ โดยโฟกัสไปที่บนถนนทางหลวงจะพบว่ากว่า 76% ของอุบัติเหตุทางหลวง เกิดจากการขับรถเร็ว ที่สำคัญ 2 ใน 3 ของผู้ประสบเหตุ เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ”
ที่มา: สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) www.accident.or.th
สงกรานต์ปีนี้ นายพรหมมินทร์ เสนอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนใช้ความเร็วในการขับขี่ลดลง โดยในพื้นที่เขตเมืองควรใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. ขณะที่นอกเขตเมืองควรขับที่ 90 กม./ชม. ซึ่งการขับรถด้วยความเร็วดังกล่าว หากเกิดอุบัติเหตุจะสามารถช่วยลด การบาดเจ็บ การเสียชีวิต และพิการได้เกินครึ่ง
“จากการศึกษาการใช้ความเร็วในเขตนอกเมือง พบว่าผลต่างระหว่างการใช้ความเร็วที่ 90 กม./ชม. กับ 120 กม./ชม. ในระยะทาง 30 กม. ผู้ขับขี่ถึงที่หมายต่างกันเพียง 5 นาที แต่หากเกิดอุบัติเหตุผู้ใช้ความเร็ว 90 กม./ชม. มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า 3-4 เท่า” ผู้อำนวยการ สคอ. ย้ำ
ที่มา: สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) www.accident.or.th