สาระสำคัญของข้อเสนอ ให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล หากมีน้ำตาล มากกว่า 6 กรัม 100 มิลลิลิตร เก็บเพิ่มร้อยละ 20 และ น้ำตาลมากกว่า 10 กรัม 100 มิลลิลิตร เก็บเพิ่มร้อยละ 25 ณ ราคาขายปลีกหน้าร้าน
การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มรูปแบบนี้ เป็นไปตามคำแนะนำของ องค์การอนามัยโรค ให้ประเทศสมาชิก จัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกินมาตรฐานเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 20 เชื่อว่า จะสามารถช่วยลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลได้ และทำสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศที่จัดเก็บ
กลับมาดูที่ปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มที่เราทดลองอีกครั้ง ค่าที่เราวัดได้ แม้จะไม่ได้ค่าเป็น กรัม ต่อ มิลลิเมตร ตามข้อเสนอ แต่ค่าที่วัดได้ ที่มีหน่วยเป็น Brix นี้ เป็นค่าที่ตรงกับฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข และเป็นค่าที่ กระทรวงสาธารณสุขระบุไว้ว่า เกินกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก ให้ค่าไว้ คือ ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวัน
ในต่างประเทศ ใช้วิธีการนี้เช่นกัน ที่ช่วยลดการบริโภคน้ำตาลของประชาชน โดยมี 2 ประเทศ ที่ประสบความสำเร็จชัดเจน
เม็กซิโก เก็บภาษีเครื่องดื่มผสมน้ำตาลทุกชนิด ณ ราคาขายปลีก เพิ่มขึ้นร้อยละ10 ลดการบริโภคน้ำตาลของประชาชนลงได้ร้อยละ 16 และคาดว่า จะสามารถลดการเกิดโรคเบาหวานได้ 600,000 คนภายในปี 2573
ฮังการี เก็บภาษีเครื่องดื่มผสมน้ำตาลมากกว่า 8 กรัม มิลลิลิตร ลดการบริโภคน้ำตาลของประชาชนลงร้อยละ32 และทำให้เครื่องดื่มผสมน้ำตาลต่ำมีปริมาณขายมากขึ้นหลัง สปท. เสนอเรื่องนี้ นายตัน ภาสกรนที หรือ ตัน อิชิตัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป แสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า หากรัฐบาลประกาศขึ้นภาษีเครื่องดื่มผสมน้ำตาล ต้องเข้าไปควบคุมผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ และเครื่องดื่มทุกชนิด เพื่อความเป็นธรรมต่อการแข่งขันในเชิงธุรกิจ
หากข้อเสนอนี้ผ่าน ครม. บริษัทอิชิตัน จะมีแนวทาง 2 ส่วน คือ ลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลง และ ปรับราคาสินค้าลง แต่อาจจะต้องมาพิจารณาเป็นรายผลิตภัณฑ์ว่าควรจะปรับอย่างไรให้เหมาะสม
น่าสนใจว่า แนวทางที่นายตัน เสนอ หรือ อาจมีผู้ประกอบการรายอื่นทำตาม คือ ลดปริมาณเครื่องดื่ม หรือ ยอมลดราคา อาจไม่ได้ช่วยลดปริมาณการบริโภคน้ำตาลลง ตามเจตนาของผู้เสนอกฎหมาย