วันนี้ (12 ต.ค. 59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม่น้ำชี และลำปาว มีน้ำหนุนเพิ่มสูงขึ้นอีก 50 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร ทำให้น้ำล้นตลิ่ง เข้าท่วมนาข้าวใน 3 อำเภอประกอบด้วย อ.ฆ้องชัย ประมาณ 500 ไร่ อ.ร่องคำ ประมาณ 443 ไร่ และ อ.กมลาไสยอีกประมาณ 1,300 ไร่ รวม 2,243 ไร่ นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงสั่งการให้เตรียม บุคลากรและ อุปกรณ์ช่วยเหลือ เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากระดับน้ำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีการประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติเนื่องจากยังรับมือได้
ส่วนที่จังหวัดนครราชสีมา เจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงที่ 3 เร่งขุดลอกทางระบายน้ำที่บริเวณริมถนนสายราชสีมา-โชคชัย หลังน้ำเอ่อล้นขึ้นตามท่อระบายน้ำ เข้าท่วมในหมู่บ้านจามจุรีวิลเลจ ระดับความสูงตั้งแต่ 10-20 เซนติเมตร รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้ โดยเจ้าหน้าที่นำเครื่องสูบน้ำเร่งสูบน้ำออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว หากไม่มีฝนตกลงมาอีก ในช่วง 1-2 วันนี้ ก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ส่วนที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นภาพจากนิวมีเดีย พีพีทีวี ลงพื้นที่ไปพบว่า เกือบ 1 เดือน ที่ชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำน้อย ในอำเภอเสนา ต้องตกอยู่ในสภาพคล้ายคนติดเกาะ หลังถูกน้ำท่วมสูงกว่า 2 เมตร เรือพายจึงกลายเป็นพาหนะเพียงอย่างเดียวที่ใช้สัญจรเข้าออก ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาปรับเพิ่มการระบายน้ำ ส่งผลให้พื้นที่ท้ายเขื่อนได้รับผลกระทบอีกครั้ง เนื่องจากการระบายน้ำทำได้ยาก เพราะประตูระบายน้ำส่วนใหญ่ถูกปิด ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมพื้นที่การเกษตร ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวอีก ไม่ต่ำกว่า 1 แสนไร่
ขณะที่ กรมชลประทาน สั่งเร่งระบายน้ำออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง วันละ 60 กว่าล้านลูกบาศก์เมตร และควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหก ให้อยู่ประมาณ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อให้ไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาโดยเร็ว ด้านนาย ณรงค์ ลีนานนท์ รองอธิบดีฝ่ายก่อสร้าง กรมชลประทาน ยืนยันว่าสามารถรับมือได้ หากไม่มีฝนตกเพิ่ม
ล่าสุดสถานการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยา แต่ตั้งแม่น้ำปิง แม่น้ำน่าน และแม่น้ำสะแกกรัง มีแนวโน้มลดลง คาดว่าภายใน 2 อาทิตย์ น้ำที่ท่วมขังอยู่ในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง จะเริ่มลดลงและเข้าสู่ภาวะปกติ
ทางด้าน คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ 41 จังหวัดแล้ว เบื้องต้นครอบครัวละ 3,000 บาท คาดว่ามีผู้เข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือ 3 หมื่นราย ใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาทและเห็นชอบพักชำระหนี้ 6 เดือน
