ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ ทรงอุทิศกำลังพระวรกายเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร และเพื่อความเจริญพัฒนาของประเทศ โดยมิได้คำนึงถึงประโยชน์สุขส่วนพระองค์ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะทุรกันดาร หรือลำบากแค่ไหน ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย ทรงได้พระราชทานโครงการนานัปการมากมาย เพื่อปวงชนชาวไทยตลอดมา
โดยโครงการพระราชดำริที่เป็นที่รู้จักมีจำนวนมาก เราจึงนำบางส่วนของโครงการพระราชดำริ เพื่อนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่การพัฒนาประเทศและประโยชน์ของราษฎร
โครงการแก้มลิง
โครงการแก้มลิง เป็นแนวคิดในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย เนื่องจากความรุนแรงของอุทกภัยที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ.2538 โดยให้จัดหาสถานที่เก็บกักน้ำตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อรองรับน้ำฝนไว้ชั่วคราว เมื่อถึงเวลาที่คลองพอจะระบายน้ำได้ จึงค่อยระบายน้ำส่วนที่เก็บกักออกไป จึงสามารถลดความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพ และยังเป็นการช่วยอนุรักษ์น้ำและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ.2498 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎร และเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำ ทั้งการอุปโภคและบริโภค ด้วยพระเนตรที่ยาวไกล และทรงความอัจฉริยะของพระองค์ท่าน จึงทรงสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลในขั้นต้นแล้ว จึงได้มีพระราชดำริครั้งแรก แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ว่าจะทรงค้นหาวิธีการที่จะทำให้เกิดฝนตกนอกเหนือจากที่จะได้รับจากธรรมชาติ โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์กับทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดมีศักยภาพของการเป็นฝนให้ได้ ต่อมาได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลอง ปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ "คลองลัดโพธิ์"
คลองลัดโพธิ์ เป็นคลองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงมีกระแสร์พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ว่าจะเป็นสถานที่ตัวอย่างของการบริหารจัดการน้ำ ที่ต้องการความรู็เรื่องเกี่ยวกับเวลาน้ำขึ้นน้ำลง หากว่ามีการบริหารจัดการที่ถูกต้องก็จะสามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ และทรงเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปทรงเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ และทรงเปิดสะพานภูมิพล 1 ภูมิพล 2 ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2553
กังหันน้ำชัยพัฒนา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยในความเดือดร้อนทุกข์ยากที่เกิดขึ้นนี้ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสภาพน้ำเสียในพื้นที่หลายแห่งหลายครั้ง ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ พระองค์ทรงเห็นปัญหาน้ำเน่าเสียมากขึ้นทุกวันและเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของประชาชนต่อไปในอนาคต ดังนั้นจึงได้คิดค้น.."กังหันน้ำ" หรือ "กังหันชัยพัฒนา" เพื่อบำบัดน้ำเสีย โดยการหมุนปั่นเติมอากาศให้น้ำเสียกลายเป็นน้ำดี เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำแก่ราษฎร
นอกจากพระราชกรณียกิจ และโครงการพระราชดำริจำนวนมากที่ทรงคิดค้นขึ้นเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทย ทีมนิวมีเดีย PPTV ยังได้รวบรวมเหตุการณ์และความประทับใจส่วนหนึ่งจากหนังสือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับคณะองคมนตรี" ขององคมนตรีในการถวายงานใต้เบื้องพระยุคลบาทในมุมมองที่หลากหลาย เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงแนวพระราชดำริอันลึกซึ้ง เบื้องหลังพระราชกรณียกิจและโครงการพระราชดำริ เพื่อความสุขของประชาชนในแผ่นดิน
“เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่างๆ จะทรงเตรียมพระองค์พร้อมเสมอ โปรดที่จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งด้วยพระองค์เองและทรงใช้แผนที่ตลอดทรงเชี่ยวชาญในการใช้แผนที่อย่างยิ่ง” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
“เวลาออกไปเยี่ยมพื้นที่ประสบภัย แนวทางหนึ่งที่ผมได้จากพระองค์ท่าน มาตั้งแต่สมัยรับราชการทหารและนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้คือ การฟังความทุกข์ของประชาชน”พล.อ.สุรยทธ์ จุลานนท์
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้จักทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย แผนที่ของพระองค์ท่าน เรียกได้ว่าดีและละเอียดกว่าของทุกๆคน เพราะทรงบันทึกขึ้นมาจากการเสด็จฯ ด้วยพระองค์เอง” พล.อ.สุรยทธ์ จุลานนท์
“ทรงเจรจากับชาวบ้านจนหมดเทียนเป็นเล่ม เมื่อเข้าใจกันได้ดี จึงได้เสด็จฯ กลับ ด้วยพระวิริยอุตสาหะและพระขันติธรรมดังกล่าว ทำให้การดำเนินการลุล่วงไปด้วยดี "พล.อ.อ.กำธน สินธวานนท์
"ทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทรงงานในพื้นที่ ภาพที่พสกนิกรเห็นเป็นประจำคือ ภาพที่พระองค์ท่านทรงถือแผนที่ปึกหนาด้วยพระองค์เอง จะไม่มีภาพผู้ใดถือแผนที่ปึกนี้แทนพระองค์ท่านอย่างเด็ดขาด" นายสวัสดิ์ วัฒนายากร
“ทุกข์ของราษฎร คือทุกข์ของพระองค์ท่าน คงไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของเราทรงมีความสุขยิ่งไปกว่า ความอยู่ดีกินดี รอดพ้นความยากจนของพสกนิกรของพระองค์ท่าน” นายสวัสดิ์ วัฒนายากร
ขณะที่จากหนังสือ "ใกล้เบื้องพระยุคลบาท กับลัดลาซุบซิบ" ที่นำเสนอเรื่องราวแห่งพระราชจริยวัตร ซึ่งเป็นที่ปลาบปลื้มของปวงชนชาวไทย
ดังเช่นหน้า 180 : “ในหลวง”ทรงสนพระทัยฏีกานักโทษ ปีละกว่า 1,000 ราย
งานที่พระองค์ท่านต้องทรงในหน้าที่ธรรมราชมีปริมาณมากขึ้น นอกจากพระราชกรณียกิจตามบัญญัติในรัฐธรรมนูญมั้งฝ่ายนิติบัญญัติบริหารและตุลาการตามปกติแล้ว พระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่ไพศาล แม้จนกระทั่งทุกวันนี้ก็คือ ทรงวินิจฉัยฎีกาของพระราชทานอภัยโทษด้วยพระองค์เองทุกเรื่อง ฎีกาเหล่านี้ปีหนึ่งๆ มีจำนวนร่วมพันราย แต่ละรายก็มีข้อเท็จจริงแตกต่างกันออกไป แต่พระองค์ก็ทรงพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยด้วยความยุติธรรม
หน้า 185 : “ในหลวง” โปรดทรงงานกับพื้น
ห้องทรงงานของพระองค์ในความคิดของคนทั่วๆ ไป อาจจะมีโต๊ะทำงานทรงพระอักษร พระเก้าอี้ที่โก้เก๋ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น พระเก้าอี้นั้นมีจริง แต่พระองค์ไม่ได้ทรงประทับเวลามรงงาน พระองค์จะประทับบนพื้น เพราะจะได้ทรงวางสิ่งของต่างๆ ได้ถนัด และเวลาทรงหาข้อมูลรับสั่งกับประชาชน จะทรงถนัดกว่าประทับอยู่บนเก้าอี้
หน้า 186 : “ในหลวง” ทรงไม่รังเกียจ ของถวายแบบ “ตามมีตามเกิด”
เท่าที่ปรากฏแล้ว พระองค์เคยเสด็จขึ้นไปบนเรือนเก่าๆ ของราษฏรบางราย เมื่อเจ้าของถวายเครื่องดื่มด้วยภาชนะในแบบที่เรียกว่า “ตามมีตามเกิด” พระองค์ก็ทรงรับมาเสวยโดยมิได้รังเกียจแต่อย่างใด คราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรภาคอีสาน มีหญิงชราอายุร้อยกว่าปี ขอให้หลานช่วยอุ้มมารับเสด็จพร้อมกับ ดอกบัวดอกเดียวที่ถือไว้ตั้งแต่เช้าซึ่งแห้งเหี่ยวไปแล้ว คุณยายก็ยังนำขึ้นจบบูชา เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงก้มพระองค์จนพระเศียรเกือบติดศีรษะคุณยาย เป็นอีกหนึ่งพระบรมฉายาลักษณ์ที่ประทับใจคนไทย
หน้า 239 : พระบรมฉายาลักษณ์ของ “ในหลวง” ที่ประทับใจคนไทยทั้งชาติ
คราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรภาคอีสาน มีหญิงชราอายุร้อยกว่าปี ขอให้หลานช่วยอุ้มมารับเสด็จพร้อมกับ ดอกบัวดอกเดียวที่ถือไว้ตั้งแต่เช้าซึ่งแห้งเหี่ยวไปแล้ว คุณยายก็ยังนำขึ้นจบบูชา เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงก้มพระองค์จนพระเศียรเกือบติดศีรษะคุณยาย เป็นอีกหนึ่งพระบรมฉายาลักษณ์ที่ประทับใจคนไทย
ขอบคุณภาพจาก กองข่าว และฝ่ายห้องสมุดเฉพาะ สำนักราชเลขาธิการ
ขอบคุณข้อมูล จากหนังสือ "ใกล้เบื้องพระยุคลบาท กับลัดลาซุบซิบ" และ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับคณะองคมนตรี"