งานวิจัยในประเทศแคนาดาซึ่งเผยแพร่ในวารสารการแพทย์ เดอะ แลนเซ็ต (The Lancet) พบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ถนนสายหลักที่มีการจราจรหนาแน่นมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมได้มากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ห่างออกไป
จากการติดตามข้อมูลสุขภาพของชาวแคนาดา อายุตั้งแต่ 20-85 ปี ในรัฐออนแทรีโอ จำนวน 2 ล้านคน ระหว่างปี 2001 – ปี 2012 พบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ย่านการจราจรพลุกพล่านในระยะ 50 เมตร มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับผู้ที่อาศัยอยู่ห่างออกไปมากกว่า 300 เมตร
ทีมนักวิจัยอธิบายว่า มลพิษในอากาศสามารถเข้าสู่กระแสเส้นเลือดและมีส่วนทำให้เกิดโรคระบบไหลเวียนโลหิต หรือโรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน ได้ และหากมลพิษดังกล่าวเข้าสู่สมองก็จะทำให้เกิดอาการผิดปกติทางสมอง เช่น อาการสมองเสื่อม ได้
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังติดตามผลกระทบที่เชื่อมโยงโรคทางประสาทอื่นๆ เช่น โรคพาร์คินสัน และโรคปลอกประสาทอักเสบด้วย แต่ไม่พบว่าการอาศัยอยู่ใกล้ถนนสายหลักทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น
องค์การอนามัยโลกประเมินว่า ในปี 2015 ทั่วโลกมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมเกือบ 50 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคนอายุยืนขึ้น โดยโรคสมองเสื่อมนี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ภาวะทุพพลภาพอื่นๆ ขณะที่ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว โรคสมองเสื่อมยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต แซงหน้าโรคหัวใจ อีกด้วย
ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยหวังว่าผลการวิจัยจะช่วยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เรื่องการวางผังและพัฒนาเมืองตระหนักถึงผลกระทบ จากปัญหาจราจรและมลพิษทางอากาศที่มีต่อสุขภาพประชาชน และแก้ปัญหาความแออัดในชุมชนเมือง