ถอดสมการข่าว EP.20 ตำรวจ – กท.ยุติธรรม เปิดหน้าแลก แพะ(รับบาป) หรือ (เด็กเลี้ยง)แกะ


โดย PPTV Online

เผยแพร่




โดย สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา

สิ่งใดงาม สิ่งนั้นย่อมงาม ... หรือ

ความงาม อยู่ที่ตาคนมอง

อ่านคำพิพากษาคดี "ครูจอมทรัพย์" จนจบ ทั้ง 3 ศาล ก็ไม่แปลกใจ ที่ทำไมคดีนี้ถึงยังเป็นปัญหาให้ถกเถียงกันหนัก

ไม่แปลกใจที่ฝ่ายตำรวจ พาเหรดกันออกมา ยืนยันความบริสุทธิ์ของพนักงานสอบสวน โดยวันนี้ พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ ถึงกับกล้าออกมาพูดถึงขบวนการรับจ้างให้รับสารภาพแทน ในระหว่างการให้สัมภาษณ์

และไม่แปลกใจ ที่คณะทำงานของกระทรวงยุติธรรมและทนายวันชัย สอนศิริ จะมั่นใจว่าจำเลยรายนี้เป็น “แพะ” จนเก็บตัวนางจอมทรพย์ และนายสัป วาปี ที่อ้างว่าเป็นผู้กระทำความผิดตัวจริงไว้ โดยให้ยุติการให้ข่าวทั้งหมด

 

ผมขอย้อนกลับหลังไปเล็กน้อย โดยอาศัยคำพิพากษาเป็นเกณฑ์ (ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษา)

เหตุการณ์ คือ เกิดเหตุรถกระบะชนรถจักรยานจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 ที่ถนนสายธาตุน้อย – นาเหนือ จังหวัดนครพนม โดยช่วงเวลาที่เกิดเหตุ เป็นเวลากลางคืน ไม่มีแสงไฟ ทัศนวิสัยการขับขี่เห็นได้ในระยะใกล้เท่านั้น

พยานซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์ ในที่เกิดเหตุให้การว่า ที่เกิดเหตุเป็นถนน 2 ช่องจราจร รถวิ่งสวนกัน รถกระบะขับมาด้วยความเร็วและแซงรถจักรยานยนต์ของพยานข้ามช่องจราจรไปทางฝั่งขวาจนไปชนรถจักรยานที่ขับสวนมา ... โดย พยานยืนยันว่า ใช้ไฟจากหน้ารถจักรยานยนต์ส่องเห็นทะเบียนของรถกระบะชัดเจน คือ บค 56 สกลนคร (ในคำพิพากษา ไม่มีข้อความใดที่บ่งบอกว่า พยานไม่มั่นใจทะเบียนรถ)

พนักงานสอบสวนจึงไปสืบหาและแจ้งความจับ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ซึ่งเป็นเจ้าของรถ โดยที่นางจอมทรัพย์ ปฏิเสธการให้การในชั้นพนักงานสอบสวน ... ทำให้ตำรวจส่งสำนวนไปถึงอัยการ โดยไม่มีข้อโต้แย้งของฝ่ายจำเลย

ศาลชั้นต้น เชื่อในพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน ทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ มากกว่าคำให้การและพยานบุคคลของนางจอมทรัพย์

พยานวัตถุ คือ ร่องรอยครูดและรอยถลอกที่ฝากระโปรงด้านซ้ายของรถ ที่หน่วยวิทยาการระบุว่า มีทั้งรอยเก่าและรอยใหม่และเชื่อว่า “สีเขียว” จากรถคันที่ชน ซึ่งไปติดอยู่ที่ตะเกียบของรถจักรยาน เป็นสีของขอบป้ายทะเบียนรถของนางจอมทรัพย์

ส่วนนางจอมทรัพย์ มีเพียงพยานบุคคล ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดช่วยยืนยันว่า “เธออยู่ในบ้าน” ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ และหลักฐานการลงชื่อบันทึกยืนยันสภาพรถของญาติที่ซื้อรถต่อจากเธอไว้ก่อนวันเกิดเหตุหนึ่งวัน ก่อนที่เธอจะนำรถมาให้หลังเกิดเหตุหนึ่งวัน ซึ่งเธออ้างว่า ผู้ซื้อไม่ทักท้วงว่ารถมีสภาพเปลี่ยนไป แต่พยานบุคคล้วนเป็นคนใกล้ชิด แม้แต่ผู้ซื้อรถที่นามสกุลเดียวกัน ก็ยืนยันว่ารอยถลอกที่รถเป็นรอยใหม่ ทำให้ศาลมองว่าไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และตัดสินจำคุก ...

แต่ในคำพิพากษา ก็มีข้อความสำคัญ คือ พยานในที่เกิดเหตุให้การในศาลว่า “คนที่ลงมาจากรถกระบะเป็นผู้ชาย” ซึ่งไม่มีเขียนไว้ในสำนวนของพนักงานสอบสวน แต่ศาลเชื่อว่า พนักงานสอบสวนไม่มีเจตนาจงใจไม่บันทึกคำให้การเพื่อให้เกิดผลร้ายแก่จำเลย เพราะขณะสอบปากคำ พนักงานสอบสวนยังไม่ทราบว่า “ใคร” เป็นเจ้าของรถ ... ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้จำเลย คือ นางจอมทรัพย์ มีความผิด

เมื่อมาถึงชั้นอุทธรณ์ จำเลยตั้งนายวันชัย สอนศิริ เป็นทนายความ และนำเสนอข้อโต้แย้งจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยระบุว่า รอยครูดและถลอกที่รถอยู่ฝั่งซ้าย แต่รถแซงขึ้นด้านขวามาชน ควรจะปรากฎร่องรอยที่ฝั่งขวามากกว่า พร้อมโต้แย้งเกี่ยวกับรอยสีเขียวที่ตะเกียบรถจักรยาน ซึ่งตำรวจระบุว่า เป็นรอยของป้ายทะเบียน แต่ทะเบียนรถคันนี้กลับไม่มีรอยบุบ และศาลอุทธรณ์ยังให้น้ำหนักกับคำให้การของพยานที่ระบุว่า ผู้ที่ลงมาจากรถกระบะ “เป็นผู้ชาย” ซึ่งไม่ตรงกับนางจอมทรัพย์ ... จึงพิพากษา “ยกฟ้อง”

แต่มาในชั้น “ศาลฎีกา” มีคำให้การของพยานที่เป็นผู้ซื้อรถคันนี้ไปจากนางจอมทรัพย์ คือ “ประพัฒน์ แสนเมืองโคตร” ที่ยืนยันว่า รถที่นางจอมทรัพย์ยืมไปหลังจากขายให้หนึ่งวันกลับมาโดยมีรอยครูดเกิดขึ้นใหม่ที่โคมไฟหน้าด้านซ้าย และศาลฎีกาให้น้ำหนักไปกับการพิสูจน์หลักฐานที่สภาพรถกระบะ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า รอยครูดเป็นรอยใหม่ รอยสีเขียวมาจากของแผ่นป้ายทะเบียนรถกระบะ มีพยานเห็นทะเบียนรถชัดเจนผ่านไฟหน้ารถจักรยานยนต์ ส่วนคำให้การของพยาน ที่ระบุว่า คนที่ลงมาจากรถกระบะเป็น “ผู้ชาย” ศาลฎีกาเห็นเหมือนศาลชั้นต้นว่า พนักงานสอบสวนไม่น่าจะมีเจตนาไม่บันทึกคำให้การเพื่อส่งผลร้ายแก่จำเลย เพราะระหว่างการสอบสวนยังไม่ทราบตัวเจ้าของรถ แต่ศาลยึดตามพยานหลักฐานว่า จำเลย คือ นางจอมทรัพย์ เป็นเจ้าของรถ และมีข้อความสำคัญว่า

“นางจอมทรัพย์ ยอมรับว่าเป็นผู้ครอบครองรถในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ” ... (ซึ่งแย้งกับคำให้การว่าจากพยานอีกคนว่า นอนอยู่ที่บ้าน ... เพราะรถ มีร่องรอยครูดและถลอกที่เกิดขึ้นใหม่)

ศาลฎีกา จึงพิพากษาให้กลับไปบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือ จำคุก 3 ปี 2 เดือน

เมื่ออ่านครบทั้ง 3 ศาลแล้ว จะเห็นว่า ในคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับศาลฎีกา ยังมีสิ่งที่ไม่ได้พิสูจน์ข้อโต้แย้งของศาลอุทธรณ์ เช่น “คนที่ลงมาเป็น ผู้ชาย” ... “ป้ายทะเบียนไม่มีรอยบุบ” ...  “รอยถลอกที่อยู่ด้านซ้ายของรถ”

ส่วนคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ที่ให้ยกฟ้อง ก็ยังติดคำถามบางอย่าง โดยเฉพาะข้อความสำคัญ คือ เมื่อนางจอมทรัพย์ เป็นผู้ครอบครองรถในวันที่เกิดเหตุ ... และมีการตรวจพิสูจน์ยืนยันจากหลายฝ่ายว่า “มีรอยถลอกเกิดขึ้นใหม่” ในคืนนั้น แต่นางจอมทรัพย์บอกว่า อยู่ที่บ้าน ... ขัดแย้งกันหรือไม่

ยังไม่รวมสิ่งที่น่าแปลกใจ คือ คนซื้อรถ เป็นพยานฝ่ายจำเลย แต่กลับให้การเป็นประโยชน์กับฝ่ายโจทก์ คือ จำเลยเอารถไป และมีรอยถลอกเกิดขึ้นใหม่

ส่วนประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ เป็นพยานฝ่ายโจทก์ แต่คำให้การกลับเป็นประโยชน์ต่อจำเลย คือ คนที่ลงรถมาดูเป็น ผู้ชาย

ทั้งหมด คือความซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากคดีรถชนคนเสียชีวิต ที่ดูเหมือนจะสุดแสนธรรมดาคดีหนึ่ง

ทั้งหมดนี้จบไปแล้ว หลังจากที่นางจอมทรัพย์ ถูกจำคุก ... จนกระทั่ง เธอมาขอรื้อฟื้นคดี โดยอ้างเป็น ... “แพะ”

ด้วยความซับซ้อนตั้งแต่อดีต ทั้งฝ่ายที่เชื่อว่าเธอเป็น “แพะ” และ ฝ่ายที่ยืนยันความถูกต้องของพนักงานสอบสวน จึงต้องกลับมา “งัด” กันอีกครั้ง ...

คดีเล็กๆ ในจังหสวัดนครพนม... กลายเป็นคดีสะเทือนแผ่นดิน

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว (สิ่งใดงามสิ่งนั้นย่อมงาม) หรือ ความจริงจากมุมมองไหน (ความงามอยู่ที่ตาคนมอง)

ฝ่ายที่เชื่อว่า แพะ ก็ยืนยันเต็มที่จะรื้อฟื้นคดี (แต่ไม่ไปตามศาล “นัดพร้อม” หลังรับรื้อฟื้นคดีแล้ว) ขณะที่ฝ่ายตำรวจบอก มาเลย... มีหลักฐานเด็ดรออยู่แล้ว พร้อมเปิดหน้าแลกบอกคนที่มารับสารภาพแทน อาจเป็นขบวนการรับจ้าง

ประตูที่ “นางจอมทรัพย์” จะรื้อฟื้นคดี จึงไม่ใช่การกลับไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า “รถคันที่ชน” ไม่ใช่ “บค 56 สกลนคร” แต่เป็น “บค 56 มุกดาหาร” จริง ...

เพราะรับไปแล้วว่า เป็นผู้ครอบครองรถ บค 56 สกลนคร ในวันเกิดเหตุ จึงมีทางเดียว คือ ต้องหาข้อพิสูจน์ว่า รถคันที่ชน ไม่ใช่รถคันเดียวกัน

ส่วนฝ่ายตำรวจ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า “นายสัป วาปี” ที่มารับสารภาพ มาจากขบวนการจ้างวานจริง .. เพราะเขารับสารภาพแล้ว ยากที่จะกลับคำ (จะโดนข้อหาอื่นด้วย)

เดิมพันงานนี้ ไม่มีทางถอย

จะ “แพะ”(รับบาป) หรือจะ (เด็กเลี้ยง) “แกะ” ... หรือจะ เป็นนิทานคนละเรื่อง เล่นไปคนละที หาจุดจบไม่ได้ แบบราโชมอน

น่าติดตามยิ่งกว่าศึกแดงเดือด ... ก็ศึกในระหว่าง นักสืบ กับ ตาชั่ง นี่แหล่ะครับ

TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ