ถอดสมการข่าว EP.24 ดี-เดย์ นับถอยหลังอาณาจักรธรรมกาย


โดย PPTV Online

เผยแพร่




โดย สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา

คำสั่งหัวหน้า คสช.มาตรา 44 ให้อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ควบคุมพื้นที่พิเศษ โดยรอบวัดพระธรรมกายที่มีผลตั้งแต่ 1.30 น. เมื่อคืนนี้ คงบอกอะไรได้หลายอย่าง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปฏิบัติการที่ตามมาเช้านี้

แม้ว่าดีเอสไอ จะยังเป็นหัวหน้าชุดในปฏิบัติการ แต่ในวันนี้ มีกำลังตำรวจ 3600 นาย และมีกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 1 เข้ามาสนับสนุน โดยเฉพาะกำลังทหารเป็นสัญลักษณ์ที่น่าสนใจ

ฝั่งดีเอสไอ นัดแถลงข่าวตั้งแต่ 8.00 น. โดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงษ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ออกมาแถลง มีเนื้อหาสำคัญ 3 ประเด็น

  1. เรียกร้องให้พระธัมมชโย มอบตัว ถ้ามั่นใจว่าบริสุทธิ์ ควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับลูกศิษย์ ... ข้อนี้ เป็นการแถลงตามเป้าหมายที่ต้องแถลงตามปกติ แม้ว่า มีแนวโน้มสูงที่พระธัมมชโย จะไม่อยู่ในวัดแล้วก็ตาม เพราะไม่มีศิษย์คนใดยืนยัน
  2. แจ้งข่าวสำคัญว่า “องอาจ ธรรมนิทา” โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ ที่เป็นกระบอกเสียงของธรรมกายและมีบทบาทในการปลุกใจมวลชนมาตลอด เข้ามอบตัวแล้วเมื่อคืนนี้ โดยมีเงื่อนไขห้ามปลุกระดมและห้ามออกนอกประเทศ จึงให้ประกันตัว ... แต่ข้อนี้น่าสนใจมาก ว่า “องอาจ” ได้รับสัญญาณอะไร จึงตัดสินใจเข้ามามอบตัว ทั้งที่คนผู้นี้ เป็นศิษย์ธรรมกายตั้งแต่เด็ก เป็นแม่ทัพสำคัญในงานการข่าวของวัด และก่อนหน้านี้ ก็มีภาพเผยแพร่ออกมาว่าออกไปต่างประเทศแล้ว(ไม่ยืนยัน) กลับมามอบตัวทำไม

3. ข้อนี้ เป็นประเด็นทางยุทธวิธี ที่แม้จะดูไม่รุนแรง แต่แฝงด้วยนัยยะสำคัญ คือ การชี้แจงเหตุผลในการใช้มาตรา 44 ว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาถูกขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ทำงาน คัดกรองผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ และเพื่อคุ้มครองประชาชนผู้บริสุทธิ์ออก โดยดีเอสไอ ยังออกโปสเตอร์แจงแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ที่ยืนยันจะดำเนินการโดยปราศจากอาวุธ ใช้ความรุนแรง พร้อมออกโปสเตอร์อีกชุดที่บอกว่า การกระทำใดเข้าข่ายความผิดฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่บ้าง ทั้งการนั่งขวางทาง ทำสิ่งกีดขวาง กอด ดึง รั้ง เจ้าหน้าที่ และยิงเลเซอร์ใส่ และชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ทั้ง ตำรวจ ทหาร ดีเอสไอ ตรึงกำลังปิดกั้นเส้นทาง ยึดอำนาจการตรวจค้นผู้เข้า – ออก โดยสิ้นเชิง ยุทธวิธีนี้ จึงลดกำลังคน ออกได้ แต่ห้ามเข้า ... นี่เป็นการแจ้งล่วงหน้าถึงความผิดที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ทุกคนที่กระทำเช่นนั้นเข้าข่ายฐานความผิดทันที และทำให้ท่าทีของวัดพระธรรมกายในวันนี้อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

ฝ่ายวัดพระธรรมกาย นอกจากการเข้ามอบตัวของ “องอาจ ธรรมนิทา” การเจรจาที่หน้าวัดก็ไม่เป็นผล น่าสนใจว่า วันนี้วัดพระธรรมกาย ไม่สามารถระดมมวลชนได้มากเช่นทุกครั้ง การนั่งกีดขวางเส้นทางก็ไม่เกิดขึ้น มีเพียงศิษย์ที่เข้าวัดไม่ได้มานั่งสมาธิที่หน้าวัดเท่านั้น แต่ความเคลื่อนไหวนี้ ไม่มีผลต่อสถานการณ์

อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงษ์เมือง ปรากฏตัวออกมาแถลงข่าวอีกครั้งที่หน้าประตู 7 ประมาณ 11.10 น. แสดงให้เห็นว่า ครั้งนี้ เขามาเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้วยตัวเอง และในคำแถลงของอธิบดีดีเอสไอ ประกาศชัดเจน .... “เข้าตรวจค้นแล้ว จุดแรกที่ประตู 8 และจะทยอยเข้าทุกประตู” .... จากนั้นภาพที่ประตู 8 ก็เห็นเจ้าหน้าที่เปิดประตูเข้าไปอย่างง่ายดาย และในไม่กี่นาทีถัดมาดีเอสไอ ย้ายเต๊นท์ ย้ายข้าวของเข้าไปอยู่ภายในวัดที่ประตู 8 ซึ่งมีรายงานว่า เป็นจุดที่ควบคุมสาธารณูปโภคของวัด ทั้ง น้ำ ไฟ ... จากนั้น ก็นำรถบัสเปล่าเข้าไป ...

ทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น ทั้งพระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผอ.ฝ่ายสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย และพระมหานพพร ปุญญชโย ผู้ช่วย ผอ.ฝ่ายสื่อสารองค์กร เพิ่งจะออกมาแถลงว่า จะให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นช่วงบ่าย แต่จะขอหารือวิธีการตรวจค้นก่อน

แต่เจ้าหน้าที่ เข้าไปแล้ว ... การเจรจาที่เคยเป็นผลของวัดพระธรรมกาย ใช้ไม่ได้รอบนี้ ... เพราะอำนาจตาม มาตรา 44 คราวนี้ น่าจะคล้ายกับอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้โดยไม่มีความผิดตามมา ต่างจากหมายค้น 2 รอบก่อนหน้านี้

จากแนวทางที่เห็น ผมเดาว่า น่าจะเริ่มด้วยการกระชับพื้นที่ บีบด้านสาธารณูปโภค และเกลี้ยกล่อมให้มวลชนบางส่วน “กลับบ้าน” เพื่อง่ายต่อปฏิบัติการขั้นต่อไปในประตูอื่นๆ

และการมีอำนาจตามมาตรา 44 ก็เหมือนมี “กระบี่อาญาสิทธิ์” อยู่ในมือ แสดงให้เห็นว่าปฏิบัติการนี้ได้รับคามเห็นชอบเต็มที่จาก “หน่วยเหนือ” เพราะมาตรา 44 คือ “คำสั่ง หัวหน้า คสช.”

ทั้งหมดนี้พอจะบอกได้ว่า รอบนี้ “ของจริง”

“ตรวจค้นทำไม พระธัมมชโยไม่อยู่แล้ว จะได้อะไร” นี่เป็นคำครหาที่เกิดขึ้น หลังปฏิบัติการ 2 ครั้งก่อนนี้ ถูกตัดสินว่าล้มเหลว

หากมองตามยุทธวิธี ก็พอจะบอกได้ว่า “การได้เข้าไปตรวจค้นในวัด” สำคัญมาก เพราะจะเป็น “คำตอบ” ของทุกคำถามทั้งหลาย ซึ่งล่าสุด (13.30น.) ก็ชัดเจนว่าเอาแน่ เพราะดีเอสไอ ตัดกุญแจประตู 1 ขนกำลังพลเข้าพื้นที่ฝั่ง 196 ไร่ ที่เคยระบุว่าเป็นที่อยู่ของพระธัมมชโยแล้ว และเข้าไปเจอ “พระขวาง”

“พระธัมมชโย” ยังอยู่ในวัดหรือไม่ ... คือ ประเด็นใหญ่ ไม่ใช่ใหญ่ เพราะจับได้หรือไม่ แต่ประเด็นใหญ่ เพราะจะนำไปสู่ปฏิบัติการอื่น

“ถ้าอยู่” ก็เข้าจับกุมตามหมายจับ ...ให้แพทย์ตรวจร่างกาย และจะได้รู้ความจริงซะที ว่า “อาพาธหนัก เดินไม่ได้” จริงหรือไม่

“ถ้าไม่อยู่” แปลว่า เหตุผลที่วัดพระธรรมกายอ้างมาตลอดว่า “อาพาธหนัก เคลื่อนย้ายไม่ได้” ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ....

ไม่ว่าจะออกหน้าไหน ... พบ หรือ ไม่พบ พระธัมมชโย ... ก็จะได้รู้ความจริงว่า “อาพาธ จนเคลื่อนย้ายไม่ได้” จริงหรือไม่

พอเข้าไปตรวจค้นได้แล้ว ทางเดียวที่พระธัมมชโย จะพ้นข้อครหา ก็คือ นอนอาพาธหนักจริง เคลื่อนย้ายไม่ได้จริงเท่านั้นแหล่ะครับ ...

นอกเหนือไปจากนั้น ... คือ ไม่อาพาธจริง ความชอบธรรมทั้งหลายที่เคยยกมากล่าวอ้าง ก็จะหมดไป

แถมบุคคลใกล้ชิด ไม่ว่า พระ หรือ ศิษย์ ที่เคยออกมาปกป้อง ก็จะมีความผิดตามไปด้วย และจะทำให้แกนนำสำคัญๆ ในวัดทั้งหมด ถูกดำเนินคดี อย่างเช่นที่วันนี้ทั้งพระสนิทวงศ์ พระมหานพพร และพระอีก 12 รูป ถูกเรียกไปรายงานตัวที่ สภ.คลองหลวง

อย่างเช่นที่ องอาจ ธรรมนิทา มอบตัวแล้ว

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ กลับไปอ่านชื่อเรื่องครับ ... นับถอยหลังอาณาจักรธรรมกาย

**** แถมแผนที่มาให้ดูครับ

PR-โปรแกรมผลบอล-2_B PR-โปรแกรมผลบอล-2_B
TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ