คลังเร่งหาเงินเพิ่มให้กับเบี้ยผู้สูงอายุ

วันนี้ (24 พ.ค. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็น 1,200-1,500 บาท ตามช่วงอายุ จากเดิมเดือนละ 600 -1,000 บาท ตามช่วงอายุ เพื่อให้เหมาะสมต่อสภาพค่าครองชีพ โดยที่มาของงบประมาณที่จะนำมาเป็นส่วนเพิ่มนั้น มาจากแนวทางตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ผู้สูงอายุกลุ่มที่มีฐานะดีเลี้ยงดูตัวเองได้สละเบี้ยยังชีพเข้ามาในกองทุนชราภาพ

อย่างไรก็ตาม มติครั้งนี้เป็นการอนุมัติในหลักการ ยังต้องให้กระทรวงการคลังไปจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมในอีกหลายประเด็นเพื่อให้เกิดความรอบคอบในทุกด้าน แล้วกลับมาเสนอ ครม.ให้เร็วที่สุด เบื้องต้นผู้สูงอายุที่สละสิทธิ์รับเบี้ยแล้วยังสามารถกลับมาใช้สิทธิ์ได้เหมือนเดิม

โดยกระทรวงการคลัง จะเร่งไปหารายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาเพิ่มเบี้ยชราภาพให้ผู้สูงอายุที่ฐานะยากจน นอกเหนือจากการให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะสละสิทธิการรับเบี้ยสูงอายุ โดยก่อนหน้านี้คลังเสนอให้นำเงินจากภาษีเหล้าบุหรี่ปีละ 2,000 ล้านบาท จากที่กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้ปีละกว่า 1 แสนล้านบาท มาเพิ่มเบี้ยชราภาพให้ผู้สูงอายุที่ยากจนด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้สูงอายุ หรือผู้อายุเกินกว่า 60 ปี จำนวน 10 ล้าน 3 แสนคน หรือ 16% ของประชากรทั้งประเทศ และคาดว่าปี 2568 จะเพิ่มเป็น 20% ในจำนวนผู้สูงอายุกว่า 3 ล้าน 5 แสนคน  ที่มีรายได้น้อยหรือมีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี และยังพบว่ามีผู้สูงอายุที่มีฐานะจำนวนมากยินยอม สละสิทธิไม่รับเบี้ยสูงอายุ ซึ่งประเมินว่าหากมีผู้สูงอายุสละสิทธิเพียง 10% จะมีเงินเข้ากองทุนชราภาพได้มากถึง 4,000 ล้านบาทต่อปี โดยผู้ที่สละสิทธิ์ครั้งนี้จะได้รับเหรียญเชิดชู ซึ่งได้หารือกับกรมธนารักษ์เรียบร้อยแล้ว

ส่วนเรื่องการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลออก ม.44 เพื่อแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนโครงการอีอีซี มองว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นและจะทำให้ต่างชาติตัดสินใจเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น 

ทั้งนี้ ม.44 จะใช้กับโครงการอีอีซีในเรื่องของการร่นขั้นตอนการทำงานเพื่อออกอีไอเอ พร้อมให้บอร์ดอีอีซีอนุมัติโครงการพีพีพี ฟาสต์แทร็กได้เลย รวมถึงให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยานได้เกิน 50 %