วันนี้ (31 ก.ค.30) จุดที่น้ำท่วมหนักที่สุดของภาคอีสาน คือ จังหวัดสกลนคร ซึ่งนับเป็นน้ำท่วมรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี และส่งผลกระทบกับภาคเศรษฐกิจอย่างมาก สาเหตุของน้ำท่วมครั้งนี้ มาจากน้ำบนเทือกเขาภูพานไหลบ่าลงมา ประกอบกับภูมิประเทศเป็นที่ลุ่ม จึงเป็นแอ่งรับน้ำอย่างดี ยิ่งเมื่ออ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้น ในเขตอำเภอเมืองถูกกัดเซาะ ทำให้น้ำในอ่างทั้งหมดไหลออกมาสมทบจนเกิดน้ำท่วมใหญ่ ขณะนี้ในจังหวัดสกลนครยังมีพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมขัง 11 อำเภอ พื้นที่การเกษตรเสียหายหลายแสนไร่
สอดคล้องกับ นายสมภพ สุจริต ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเขื่อน กรมชลประทาน ที่ออกมายืนยันว่าสาเหตุน้ำท่วมในจังหวัดสกลนครครั้งนี้ ไม่ได้เป็นผลมาจากอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้น แต่มาจากน้ำบนเทือกเขาภูพาน ส่วนอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นเป็นอ่างดิน เมื่อถูกน้ำกัดเซาะมาก ๆ จึงทรุดตัว ไม่ใช่อ่างเก็บน้ำแตก แต่เป็นการกัดเซาะจนคันดินขาดเท่านั้น
ขณะที่ การระบายน้ำออกจากจังหวัดสกลนคร ต้องผ่านหนองหาน เพื่อลงลำน้ำก่ำ ที่ประตูสุรัสวดี บึงศาลา อ.โพนนาแก้ว และไปลงแม่น้ำโขงที่ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม คาดว่าต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 20 วัน เมื่อระบายน้ำมาจากจังหวัดสกลนคร ไหลผ่านจังหวัดนครพนม น้ำที่ไหลบ่าท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ จากทั้งหมด 12 อำเภอ ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง แลัปริมาณน้ำบางส่วนจากจังหวัดสกลนคร จะไหลไปยัง อ.โพนทอง อ.เมยวดี และ อ.เสลภูมิจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งจุดนี้มีพื้นที่การเกษตรเสียหายแล้วนับหมื่นไร่ รวมถึงถนนหลายสาย และมีแนวโน้มว่าระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นอีก
ส่วนน้ำที่ท่วมขังในจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นน้ำทีไหลมาจากเทือกเขาภูพานอีกฝั่งหนึ่ง และปัจจัยที่ส่งผลให้จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับผลกระทบมากขึ้น คือการเพิ่มปริมาณการปล่อยน้ำจากเขื่อนลำปาว โดยเฉพาะพื้นที่ท้ายเขื่อน 5 อำเภอ คือ อำเภอยางตลาด กมลาไสย ฆ้องชัย ร่องคำ และอำเภอเมือง ซึ่งเป็นจุดเฝ้าระวัง
สำหรับ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระบุว่าสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดสกลนคร และจังหวัดร้อยเอ็ด ยังคงน่าเป็นห่วง แต่หากไม่มีฝนตกมาเพิ่มในช่วง 7 วันนี้ คาดว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ