ความงดงามของระบอบประชาธิปไตยเต็มใบของสหรัฐ คือการคานอำนาจกันของสถาบันต่างๆ อย่างกรณีล่าสุดคือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องยอมลงนามในกฏหมายฉบับใหม่ ให้เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ทั้งที่ไม่เต็มใจ เพราะเจ้าตัวบอกมาตลอดว่า อยากจะญาติดีกับรัสเซียให้มากกว่านี้ เรื่องนี้ทำให้หลายคนสงสัยว่า เหตุใดทรัมป์จึงต้องลงนามในร่างกฏหมาย ทั้งที่ตัวเองก็เป็นถึงประธานาธิบดี และสามารถยับยั้งร่างกฏหมายหรืออะไรก็ได้ ตามอำนาจที่ตัวเองมี
เรื่องนี้นายฮัล แบรนด์ อาจารย์ภาควิชากิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกิ้นส์ ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า มี 2 เหตุผลที่ทำให้ทรัมป์ ต้องลงนามในร่างกฏหมายฉบับนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหตุผลแรกคือเจ้าตัวกำลังตกเป็นจำเลยสังคม ในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่า ร่วมมือกับรัสเซียอย่างลับๆ เพื่อ ใส่ร้ายนางฮิลลารี คลินตัน เพื่อให้ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเมื่อปลายปีไพที่แล้ว ซึ่งถ้าทรัมป์ ใช้อำนาจประธานาธิบดีวีโต้เรื่องนี้ ก็จะถูกต้องสงสัยหนักขึ้นไปอีกว่าเรื่องร่วมมือกับรัสเซียนั้นเป็นความจริง ทำให้อาจถูกซักฟอกหนักขึ้น และอาจหมดอนาคตทางการเมืองไปเลยก็เป็นได้
เหตุผลที่สองคือกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า เป็นความงดงามของประชาธิปไตย นั่นคือร่างกฎหมายฉบับนี้ ผ่านความเห็นชอบอย่างท่วมท้น ทั้งสภาผู้แทนราษฏร และวุฒิสภา ซึ่งหมายความว่า แม้ตัวประธานาธิบดีจะใช้อำนาจวีโต้ แต่พลังของทั้ง 2 สภา ก็จะทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบและนำไปบังคับใช้อยู่ดี
ปัญหาที่ต้องจับตามองนับจากนี้คือ ท่าทีของรัสเซีย ซึ่งออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างมาก โดยนายดิมิทรี เมดเวเดฟ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ออกโรงตอกหน้าทรัมป์แบบเต็มๆ แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า นายวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำตัวจริง กลับยังคงปิดปากเงียบ หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมือทรัมป์ว่า ท้ายที่สุดแล้ว สหรัฐกับรัสเซียจะกลับมาจูบปากกันได้ในที่สุด