วันนี้ (12 ก.ย. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมวิชาการเกษตร ยังไม่มีคำตอบชัดเจนว่าจะประกาศยกเลิกใช้สาร “พาราควอต และ คลอร์ไพริฟอส” ในสารกำจัดวัชพืชได้หรือไม่ แต่มีการนำข้อมูลของสารทั้ง 2 ตัวมาเปิดให้สื่อมวลชนดู โดยเปรียบเทียบพิษของสารเคมีว่ายังอยู่ในระดับสีเหลือง จึงยังไม่ฟันธงว่าเป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะพิษอยู่ในระดับปานกลาง
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ระบุว่า กรมไม่มีอำนาจที่ตัดสินใจให้เลิกใช้สาร “พาราควอต และ คลอร์ไพริฟอส” ในสารเคมีกำจัดวัชพืช การสั่งห้ามใช้โดยเด็ดขาดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการวัตถุอันตรายเท่านั้น จึงให้คำตอบไม่ได้ว่าจะห้ามจำหน่าย ห้ามใช้ภายในปี 2562 ตามมติในที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560 ได้หรือไม่
กรมวิชาการเกษตร ชี้แจงอีกว่า ตอนนี้มีข้อติดขัดหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถยกเลิกใช้สาร “พาราควอต และ คลอร์ไพริฟอส” ได้ เพราะมีทั้งเกษตรกรที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการควบคุมสารทั้ง 2 ชนิดนี้ รวมถึงข้อมูลทางวิชาการที่มีอยู่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่ตรงกันว่าเป็นอันตรายต่อระบบสุขภาพของเกษตรกรเรื่องเนื้อเยื่อเน่า ทำให้ต้องใช้เวลาในการพิจารณาตรวจสอบจากคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่มีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน คาดว่าจะนำเสนอภายในวันศุกร์ ที่ 15 กันยายนนี้
สำหรับสารทั้งสองชนิดส่งผลต่อสุขภาพรุนแรง โดยเฉพาะพาราควอต เป็นสารซึมเข้าตามผิวหนัง มีพิษเฉียบพลัน ทำให้เกิดโรคเนื้อเยื่อผิวหนังเน่า ซึ่งหลายประเทศประกาศยกเลิกใช้สารชนิดนี้แล้ว ส่วนคลอร์ไพรีฟอส ส่งผลต่อพัฒนาการสมองของเด็ก หากแม่ได้รับระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เด็กมีพัฒนาการช้า ไอคิวต่ำ และยังเป็นสารก่อมะเร็ง
สอดคล้องกับข้อมูลจากโรงพยาบาลจังหวัดหนองบัวลำภู ที่พบเกษตรกรล้มป่วยจากอาการเนื้อเยื่อเน่าตาย เข้ารับการรักษาเฉลี่ยปีละ 120 คน บางคนต้องตัดอวัยวะทิ้งกลายเป็นคนพิการ ส่วนอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 10 หรือประมาณ 12 คนต่อปี สาเหตุจากบาดแผลลุกลามจนเน่าถึงเนื้อ เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดจนเสียชีวิต