ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คลื่นความโน้มถ่วง หรือรอยกระเพื่อมในกาลอวกาศนี้ ซึ่งเกิดจากการชนกันของดาวนิวตรอน 2 ดวง เมื่อ 130 ล้านปีก่อน ถูกตรวจพบเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโดยหอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วงไลโก (LIGO) ในรัฐวอชิงตันและรัฐลุยเซียนาของสหรัฐฯ และหอสังเกตการณ์เวอร์โกในอิตาลี โดยเป็นการตรวจพบพร้อมกับแสงที่สังเกตได้จากกล้องโทรทรรศน์กำลังสูงเป็นครั้งแรก เปรียบเทียบได้กับภาพยนตร์ที่มีทั้งภาพและเสียง
ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาเกี่ยวกับอวกาศด้วยการสังเกตคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น คลื่นวิทยุ แสงที่มองเห็นด้วยตาเปล่า แสงอินฟราเรด รังสีเอ็กซ์ และรังสีแกมมา เท่านั้น โดยระหว่างเดินทางผ่านจักรวาล คลื่นดังกล่าวจะถูกรบกวนได้ในขณะที่คลื่นความโน้มถ่วงจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ นั่นหมายความว่า คลื่นความโน้มถ่วงจะให้ข้อมูลแก่นักวิทยาศาสตร์ได้มากกว่ามาก และเปิดมุมมองใหม่ในการสังเกตปรากฏการณ์ในอวกาศที่ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยวิธีเดิมๆ มาก่อน
นอกจากนี้ จากการสังเกต นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่ามีทองคำ ทองคำขาว และโลหะหนักอืนๆ ถูกพัดกระจายออกมาในอวกาศหลังเกิดการชนกันของดาวฤกษ์ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าปรากฏการณ์ที่รุนแรงนี้เป็นแหล่งกำเนิดของโลหะดังกล่าว
ไอน์สไตน์ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการมีอยู่ของคลื่นความโน้มถ่วงไว้ตั้งแต่ปี 1916 ซึ่งต่อยอดมาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของเขา ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์และสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียจะค้นพบคลื่นความโน้มถ่วงได้โดยตรงและยืนยันทฤษฎีของไอน์สไตน์ได้เป็นครั้งแรกไม่ถึงสองปีที่ผ่านมานี้เอง (14 ก.ย. 2015) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ 3 คน ที่ทำการค้นพบ ก็เพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ไปหมาดๆ เมื่อเดือนที่แล้ว