เมื่อวันที่ (11 ม.ค. 61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ตำรวจจะยังอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า นางสาวณิชา เกียรติธนะไพบูล ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชน ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นำบัตรประชาชนที่เคยทำหายไปบัญชีธนาคารเพื่อใช้หลอกลวงผู้อื่นหรือไม่ แต่จากภาพวงจรปิดของธนาคาร 2 แห่ง คือกรุงไทย และไทยพาณิชย์ จะเห็นว่าบุคคลที่นำบัตรประชาชนของนางสาวณิชาไปเปิดบัญชีเป็นบุคคลอื่น แต่พนักงานกลับเปิดบัญชีให้โดยไม่ตรวจสอบตัวตน ซึ่งไม่เป็นไปตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ที่ธนาคารจำเป็นต้องพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลก่อน
โดยนายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ส่งรายงานชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นมาแล้ว และอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะนำข้อมูลไปพิจารณาร่วมกับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอีกครั้ง พร้อมสั่งกำชับทุกธนาคารดำเนินการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นว่าพนักงานดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของบุคคลหรือไม่ พร้อมขอให้หาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
ขณะที่พลตำรวจตรีรมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รักษาการ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้เชิญสถาบันการเงินรวม 36 แห่งประชุมหารือมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีกที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในวันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561
จากการสอบถามประชาชน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อระบบความปลอดภัยของธนาคาร มองว่าธนาคารควรต้องรอบคอบและมีระบบที่รัดกุมกว่านี้ โดยเฉพาะการตรวจสอบตัวบุคคล โดยสถิติภัยทางการเงิน โดยศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2560 พบว่า มีประชาชนขอข้อมูล ร้องเรียน และแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการหลอกให้โอนเงินผ่านโทรศัพท์ รวม 355 รายการ ส่วนการปลอมแปลงเอกสารแสดงตัวมีทั้งหมด 46 รายการ