นางอุมาพร พิมลบุตร รองอธิบดีกรมประมงพร้อมด้วย พร้อมด้วย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.กล่าวถึงกรณีนี้ว่าเป็นการนำเข้าปลาตาเดียวครั้งแรกซึ่งทาง อย.ได้ตรวจสอบอย่างเข้มงวดเป็นไปตามมาตรฐานทุกอย่าง ขณะที่ไทยนำเข้ามาจากญี่ปุ่นมาโดยตลอดตั้งแต่ช่วงปี 2554 ที่เกิดเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และได้ควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสารกัมมันตภาพรังสีอย่างละเอียดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
ขณะเดียวกัน ทางญี่ปุ่นปัจจุบันได้จำกัดพื้นที่ทำประมงเพียง 10 กิโลเมตร จากเดิมที่สามารถทำได้ในพื้นที่ 20 กิโลเมตรและสมาคมประมงและหน่วยงานรัฐบาลของญี่ปุ่นได้ร่วมกันจับสัตว์น้ำในทะเลแถบ จ.ฟุกุชิมะ ได้สุ่มตัวอย่างปลาและอาหารทะเลในพื้นที่ไม่พบซีเซียม และได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของญี่ปุ่นตั้งแต่เดือน เม.ย. 2558 ซึ่งถือว่าปลอดภัยต่อการบริโภค
ขณะที่การปนเปื้อนของสารซีเซียมจากอุบัติเหตุนิวเคลียร์ เว็บไซต์เตือนภัยสารกัมมันตรังสี ระบุว่า มีโอกาสตกค้างในสิ่งแวดล้อม แหล่งน้ำพืช สัตว์ ฯลฯ สามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายคนและสัตว์ผ่านทางห่วงโซ่อาหาร การกินอาหารปนเปื้อนเหล่านี้เข้าไปในปริมาณสูงจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น ทำให้อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หรือก่อให้เกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะสารซีเซียม 137 เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะกระจายและสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อรวมถึงตับและไขกระดูก มีบางส่วนถูกขับออกโดยเหงื่อและปัสสาวะ
สำหรับไทยเองนำเข้าปลาตาเดียวจาก จ.ฟุกุชิมะครั้งนี้อยู่ที่ 110 กิโลกรัมกระจายให้กับร้านอาหารญี่ปุ่น 12 แห่งทั่วกรุงเทพฯ จากจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นราว 1,700 กว่าร้านในกรุงเทพฯ แม้จะไม่ถึง 1% แต่ก็สร้างความกังวลใจให้ไม่น้อยกับการเสี่ยงทาย 12 ร้านที่พร้อมเสิร์ฟซึ่งในเมนูอาหารญี่ปุ่น ที่เป็นที่นิยมคือเอ็นงาวะ (Engawa) เนื้อส่วนครีบปลาฮิราเมะ หรือ ครีบปลาตาเดียว ซึ่งมีราคาสูง
นอกจาก จ.ฟุกุชิมะ แล้วไทยยังมีการนำเข้าปลาจาก กุมมะ อิบารากิ โทจิงิ มิยางิ ชิบะ คานากาวะ ชิซูโอกะ ด้วย
แต่ยังมีบางประเทศไม่ยกเลิกคำสั่งระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์จาก จ.ฟุกุชิมะ ทุกประเภท เช่น เกาหลีใต้ ขณะที่ประเทศที่เคยมีและยังมีคำสั่งห้ามผลิตภัณฑ์ส่งออกจาก จ.ฟุกุชิมะ คือ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน
นอกเหนือ จากความนิยมของ เอ็นงาวะ แล้ว ต้องยอมรับว่าร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยได้รับความนิยมมาตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแม้จะมีเกาหลีเข้ามาแชร์ในช่วงหลัง โดยเฉพาะเมนูอย่าง ซาชิมิ ซูชิ (ปลาดิบ) เมนูยอดฮิตอันดับหนึ่ง ตามข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) แซงหน้าชาบูชาบู สุกี้ยากี้ เทมปุระ และราเม็ง สร้างมูลค่าการตลาดรวมของร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยปี 2560 อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท แต่ยังไม่ใช่จุดอิ่มตัว ตามความเห็นของ ฮิโรคิ มิทสึมะตะ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ เพราะมองว่าจากความนิยมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นของคนไทยทำให้คุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นแบบต้นตำรับและเข้ามาเปิดในเมืองไทยมากขึ้นแต่อาจเติบโตได้ไม่เร็วเท่าช่วงก่อนหน้า
ข้อมูลจาก เว็บไซต์เตือนภัยสารกัมมันตรังสี , JAPAN TIMES , องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO)
ภาพ AFP