เมื่อวานนี้ (18มิ.ย.61) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯออกมาขู่ว่าจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีกในอัตรา 10% คิดเป็นมูลค่ารวม 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 6 ล้านล้านบาท ทั้งๆที่เพิ่งจะประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตรา 25% ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
โดยทรัมป์ได้มอบหมายให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ไปศึกษาว่าสินค้าจีนประเภทใดอีกบ้าง ที่ควรเก็บภาษีนำเข้า พร้อมย้ำว่ากำแพงภาษีในรอบใหม่นี้จะมีการบังคับใช้แน่นอน หากจีนไม่เปลี่ยนนโยบายการค้า และยังเดินหน้าเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ตามที่ประกาศไว้
ล่าสุด มีความเคลื่อนไหวจากฝั่งจีน โดยโฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีน ออกแถลงการณ์ ประณามรัฐบาลสหรัฐฯที่ใช้มาตรการกดดันอย่างหนักและเข้าข่ายกรรโชก ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ทั้งสองฝ่ายเคยเห็นพ้องร่วมกันในการเจรจาการค้าหลายครั้ง พร้อมเตือนว่า หากสหรัฐฯยังกระทำการอย่างไร้เหตุผลและยังเดินหน้าประกาศรายชื่อสินค้าจีนที่จะถูกเก็บภาษี จีนก็คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ที่รุนแรง
จนถึงขณะนี้ มีสินค้าจีนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์แล้วมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวม 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 6 ก.ค. นี้
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การตั้งกำแพงภาษีอาจส่งผลเสียต่อภาคการผลิตของสหรัฐฯเอง ที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนนำเข้าจากจีน รวมถึงบริษัทใหญ่อย่าง แอปเปิล, จีเอ็ม ,และโบอิง ที่มีตลาดใหญ่อยู่ในจีน
ความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก ยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยคำขู่ล่าสุดของทรัมป์ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วเอเชียร่วงถ้วนหน้าหลังเปิดตลาดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และไต้หวัน
