ผลการศึกษาและรวบรวมข้อมูล ขององค์กร World Poverty Clock และ สถาบันบรุ๊กกิ้งส์ แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันทั่วทั้งโลกมีประชากรที่อยู่ในภาวะยากจนขั้นรุนแรงมากกว่า 643 ล้านคน จำนวนนี้ 2 ใน 3 คือประชากรที่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกา ผลการศึกษายังพบว่า ในทุกๆ 1 นาที ไนจีเรียจะมีประชากรที่ตกอยู่ในภาวะความยากจนขั้นรุนแรง 6 คน โดยประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.9 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 65 บาทต่อวัน มีมากถึง 87 ล้านคน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ แซงหน้าอินเดียที่มีคนจน 71 ล้าน 5 แสนคน และจำนวนคนจนก็กำลังมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ
แม้ว่าไนจีเรีย จะเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของแอฟริกา แต่ก็ยังประสบปัญหาในการบริหารทรัพยากรอันมีค่าของประเทศ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชีวิตประชาชน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ระบุว่าในปี 2016 ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก ส่งผลให้เศรษฐกิจของไนจีเรียอยู่ในภาวะถดถอย และแม้ว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ จะช่วยให้เศรษฐกิจของไนจีเรียฟื้นตัว แต่ก็ยังมีเรื่องต่างๆที่ต้องดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานและความยากจน อันดับ 3 คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ตามด้วย เอธิโอเปีย และแทนซาเนีย
นอกจากนี้ ยังมีบังกลาเทศและอินโดนีเซีย ที่ติดอยู่ในอันดับท็อปเทน โดยบังกลาเทศมีจำนวนคนจน 14 ล้านคน ส่วนอินโดนีเซียมี 17 ล้านคน ขณะที่ประเทศไทย จำนวนประชากรที่ยากจนขั้นรุนแรงยังถือว่าน้อยมาก คือ ไม่ถึง 3% ของประชากรทั้งประเทศ
นอกจากนี้ ทีมผู้ทำการศึกษายังตั้งข้อสังเกตว่า ในจำนวนประเทศที่มีอัตราประชากรยากจนเพิ่มมากขึ้นทั้งหมด 18 ประเทศ มีประเทศในแอฟริกาติดอันดับมาถึง 14 ประเทศ ซึ่งถ้าหากแนวโน้มยังเป็นไปตามนี้ จะทำให้ในปี 2030 ประชากรที่ยากจนที่สุดในโลก 90% อยู่ในทวีปแอฟริกา ส่วนจำนวนประชากรโลกที่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนขั้นรุนแรง นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปี 2016 จนถึงขณะนี้ มีทั้งสิ้น 83 ล้านคน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อตกลงนานาชาชาติ ที่ตั้งเป้าขจัดความยากจนให้หมดไปจากโลกภายในปี 2030