คำที่ควรรู้เกี่ยวกับ "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" (๒)
คำเกี่ยวกับ "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" ที่ควรรู้เพื่อเข้าใจในพระราชพิธีอันสำคัญยิ่ง
ตั้งน้ำวงด้าย
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเริ่มด้วยการ “ตั้งน้ำวงด้าย” รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อ วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๓ ซึ่งเป็นวันเริ่มงานพระราชพิธีไว้ว่า “การสวดมนต์วันนี้ เรียกว่า “ตั้งน้ำวงด้าย” ตั้งน้ำคือตั้งภาชนะที่ใส่น้ำสำหรับพระราชพิธี วงด้ายคือวงสายสิญจน์ รอบบริเวณพิธี จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๖ มีข้อความเกี่ยวกับการตั้งวงด้ายว่า “แลตั้งพระขันหยกมีเทียนทองสำหรับพระราชพิธีพระครอบพระกริ่ง พระมหาสังข์กับพระเต้าพระพุทธมนต์ต่างๆ… วงสายสิญจน์สะพานจากพระแท่นมณฑลแยกเลียบไปตามผนัง เหนือลวดบัวทั้งสองด้าน … โยงสายสิญจน์จากสะพานมาสำหรับพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ ในที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย [อะ-มะ-ริน-วิ-นิด-ไฉ , อำ-มะ-ริน-วิ-นิด-ไฉ] พระที่นั่งไพศาลทักษิณแลพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน [จัก-กระ-พัด-พิ-มาน] ทุกสายที่สวดมนต์ แล้วต่อออกไปวงรอบพระมหามณเฑียรที่ทำพระราชพิธีทั้งสิ้น แลวงไปที่มณฑปพระกระยาสนาน แล้ววงต่อออกไปวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย”
เทียนชัย
เทียนชัยเป็นเทียนขี้ผึ่งที่จุดตามฤกษ์ที่โหรคำนวณในพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูป พิธีมังคลาภิเษกวัตถุมงคล และในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เทียนชัยมีน้ำหนัก ๘๐ บาท ความสูงเท่าประธานของงาน จำนวนไส้เทียน ๑๐๘ เส้น พิธีพุทธาภิเษกหรือพิธีมังคลาภิเษก ประธานในพิธีจุดเทียนชนวนถวายประธานสงฆ์ ประธานสงฆ์รับเทียนแล้วบริกรรมคาถาจุดเทียนชัย พระสงฆ์ในมณฑลพิธีเจริญพระพุทธมนต์พุทธาภิเษกหรือพิธีมังคลาภิเษก [มัง-คะ-ลา] เมื่อเสร็จพิธีนิมนต์พระสงฆ์อีกรูปหนึ่งบริกรรมคาถาดับเทียนชัย
ในพิธีเบื้องต้นก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปยัง พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ได้เวลาพระฤกษ์ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทรงจุดเทียนทอง ทรงตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน [พระ-ราด-ชะ-สัด-ตะ-ยา-ทิด-สะ-ถาน] แล้วถวายเทียนนั้นแด่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อเสด็จไปทรงจุดเทียนชัยในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย [อำ-มะ-ริน-วิ-นิด-ไฉ] เสร็จแล้วกลับไปนั่งที่เดิมพระราชาคณะผู้ใหญ่อ่านประกาศการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระสงฆ์ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระสงฆ์ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เจริญพระพุทธมนต์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เชิญเครื่องสักการะเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธ์
ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก หลังจากสมเด็จพระสังฆราชทรงจุดเทียนชัยแล้ว พระมหากษัตริย์ผู้ทรงรับพระรัชทายาทจะทรงจุดเทียนชนวนสำหรับให้มหาดเล็กเชิญไปใช้จุดธูปเทียนในการสักการะเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ สถานที่สำคัญ ซึ่งมีจำนวนต่างกันในแต่ละรัชกาล
เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ๑๘ องค์ สมัยรัชกาลที่ ๙ ได้แก่ พระสยามเทวาธิราช เทวดาประจำพระมหาเศวตฉัตรในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย [อำ-มะ-ริน-วิ-นิด-ไฉ] พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และพระที่นั่งพระอนันตสมาคม หุ่นฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเครื่องต้นที่ห้องภูษามาลา พระอิศวร พระนารายณ์ และพระคเณศร์ ณ เทวสถานโบสถ์ พราหมณ์ พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระกาฬชัยศรี [พระ-กาน-ไช-สี] พระเพลิง พระเจตคุปต์ [พระ-เจต-ตะ-คุบ] เทวรูป ณ หอแก้วพระภูมิ เทวรูป ณ หอเชือก และเทวรูป ณ ตึกดิน
พระสยามราชาธิราช
เป็นเทวรูปยืนสูงประมาณ ๘ นิ้ว ทรงเครื่องกษัตริยาธิราช [กะ-สัด-ตริ-ยา-ทิ-ราด] พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายยกจีบเสมอพระอุระ มีเรือนแก้วทำด้วยไม้จันทน์อยู่เบื้องหลัง ที่เรือนแก้วมีคำจารึกเป็นอักษรจีน แปลได้ว่า เทพยดาผู้สิงสถิตรักษาสยามประเทศ
พระสยามราชาธิราชนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า เมืองไทยมีเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่เผอิญให้เหตุรอดพ้นมาได้เสมอ ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งคอยพิทักษ์รักษาอยู่ สมควรทำรูปเทพพระองค์นั้นขึ้นไว้สักการะบูชา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้พระวรวงค์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ ทรงปั้นรูปเทพองค์นั้นแล้วทรงหล่อขึ้น ถวายนามว่า พระสยามเทวาธิราช ปัจจุบันประดิษฐาน ณ พระวิหาร พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในหมู่พระมหามณเฑียร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันขึ้น ปีใหม่ทางจันทรคติของไทย จึงโปรดให้บวงสรวงพระสยามเทวาธิราชเป็นพระราชประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน
ภาณวาร (พาน-นะ-วาน)
คำว่า ภาณวาร [พาน-นะ-วาน] ประกอบด้วยคำว่า ภาณ [พา-นะ] ในภาษาบาลี ซึ่งแปลว่า การสวด การกล่าว และคำว่า วาร [วาน] มาจากคำภาษาบาลีและสันสกฤต วาร [วา-ระ] แปลว่า คราว ครั้ง วัน คำว่า “ภาณวาร” จึงแปลว่า คราวแห่งการสวด วาระแห่งการสวด ใช้เรียกข้อความในคัมภีร์ต่างๆ เช่น ในพระสูตรสำหรับสาธยายเป็นคราวๆ กำหนดเป็นตอนๆ เรียกรวมว่า จตุภาณวาร [จะ-ตุ-พาน-นะ-วาน] คือมี ๔ ภาณวาร มีการสวดภาณวารในพระราชพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ดังพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี [เจ้า-พระ-ยา-ทิ-พา-กอ-ระ-วง-มะ-หา-โก-สา-ทิ-บอ-ดี] มีข้อความว่า “เสด็จขึ้นในมหามณเฑียรที่ห้องพระบรรทม ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการ แล้วสรวม [สวม] พระมหามงคล ซึ่งสอดด้วยสายสิญจน์สูตร ทรงสดับพระราชคณะสงฆ์ สมณะ ๕ รูป สวด พระจัตุภาณวาร [จัด-ตุ-พาน-นะ-วาน] จบพระตำนานแล้ว ประโคมแตรสังข์ ฆ้องไชย กังสดาล ดุริยดนตรี มโหรีพิณพาทย์
พระมหามงคล
เป็นราชาศัพท์ที่ใช้เรียกด้ายสีขาวที่ทำเป็นวงกลมสำหรับสวมพระเจ้าพระมหากษัตริย์ก่อนวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ณ ที่นั้นพระสงฆ์ ๓๐ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธาน และพระสงฆ์ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย [อะ-มะ-ริน-วิ-นิด-ไฉ , อำ-มะ-ริน-วิ-นิด-ไฉ] ๔๕ รูป เจริญพระพุทธมนต์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเทียนขนวน ตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน [พระ- ราด-ชะ-สัด-ตะ-ยา-ทิด-สะ-ถาน] แล้วถวายเทียนแด่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อเสด็จไปทรงจุดเทียนชัยในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระราชาคณะเจ้าคณะรอง อ่านประกาศพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเทียนมหามงคลเทียนเท่าพระองค์ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราช พระนั่งอัฐทิศ [อัด-ถะ-ทิด] พระที่นั่งภัทรบิฐ [พัด-ทระ-บิด] โหรบูชาเทพดา [เทบ-พะ-ดา] นพเคราะห์
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพระที่นั่งจักพรรดิพิมาน [จัก-กระ-พัด-พิ-มาน] ทรงพระมหามงคลและทรงสดับพระสงฆ์ ๕ รูป เจริญพระพุทธมนต์ พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร จบแล้วทรงถอดพระมหามงคล เสด็จพระราชดำเนินไปพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงจุดธูปเทียนบูชาเทพดานพเคราะห์
ใบสมิต
เป็นใบไม้มงคลที่พราหมณ์จัด ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในโอกาสครบรอบนักษัตร เช่น ๕ รอบ ๖ รอบ ใบสมิต ประกอบด้วยใบไม้ ๓ ชนิด คือ ใบมะม่วง ๒๕ ใบ แทนปัจวีสมหภัย [ปัน-จะ-วี-สะ-มะ-หะ-ไพ] ๒๕ ประการ เป็นใบไม้ป้องกันภยันตราย [พะ-ยัน-ตะ-ราย] ใบทอง ๓๒ ใบ ทวดึงสกรรมกรณ [ทะ-วะ-ดึง-สะ-กำ-มะ-กะ-ระ-นะ] ๓๒ ประการ เป็นใบไม้ป้องกันอุปัทวันตราย [อุ-ปัด-ทะ-วัน-ตะ-ราย,อุบ-ปัด-ทะ-วัน-ตะ-ราย] และใบตะขบ ๙๖ ใบ แทนฉันวุติโรค [ฉัน-ทะ-วุด-ติ-โรก] ๙๖ ประการ เป็นใบไม้ป้องกันโรคันตราย [โร-คัน-ตะ-ราย] พราหมณ์นำใบไม้แต่ละชนิดดังกล่าวมัดเป็นช่อแล้วหุ้มโคนช่อด้วยผ้าขาว ทำพิธีด้วยลัทธิของพราหมณ์ แล้วนำไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธี โดยประธานพราหมณ์ถวายน้ำพระสังข์ก่อน แล้วจึงถวายใบสมิต ทรงรับครั้งละช่อแล้วใช้ปัดพระองค์จากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง ทั้ง ๓ ช่อ ช่อละ ๓ ครั้ง แล้วพระราชทานคืนแก่พราหมณ์นำกลับไปทำพิธีโหมกูณฑ์ [โหม-กูน] คือพิธีบูชาไฟ ณ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสร็จแล้วนำเถ้าไปลอยน้ำเพื่อให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายไปกับสายน้ำ
น้ำสรงพระมุรธาภิเษก (น้ำ-สง-พระ-มุ-ระ-ทา-พิ-เสก)
ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก [บอ-รม-มะ-รา-ชา-พิ-เสก] เป็นน้ำศักดิ์สิทธ์ที่ได้จากแหล่งน้ำสำคัญ ในสมัยอยุธยาใช้น้ำจากสระสำคัญ ๔ สระในแขวงเมืองสุพรรณบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๔ เพิ่มจากแม่น้ำสำคัญของประเทศอีก ๕ สาย เรียกว่า “เบญจสุทธคงคา” [เบ็น-จะ-สุด-ทะ-คง-คา] ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก [บอ-รม-มะ-รา-ชา-พิ-เสก] ครั้งที่ ๒ เพิ่มจากแม่น้ำ ๕ สายในประเทศอินเดีย ซึ่งเรียกว่า “ปัญจมหานที” ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ เมื่อมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช [บอ-รม-มะ-รา-ชา-พิ-เสก-สม-โพด] พ.ศ.๒๔๕๔ เพิ่มน้ำที่ตักจากแม่น้ำละแหล่งน้ำอื่นๆ ที่ตามมณฑลต่างๆ ถือว่าเป็นแหล่งสำคัญและเป็นสิริมงคล โดยทำพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ ณ พระมหาเจดีย์ [พระ-มะ-หา-เจ-ดี-ยะ-สะ-ถาน] สำคัญ ๗ แห่ง และวัดสำคัญในมณฑลต่างๆ ๓๐ มณฑล ในรัชกาลที่ ๗ ทำพิธีเสกเพิ่มจากที่ทำในรัชกาลที่ ๖ อีกแห่งหนึ่ง คือพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ ล่วงมาถึงรัชกาลที่ ๙ ทำพิธีเสกน้ำ ๑๘ แห่ง เท่ารัชกาลที่ ๗ แต่เปลี่ยนสถานที่จากเดิม ๒ แห่ง คือเปลี่ยนจากวัดมหาธาตุเมืองเพชรบูรณ์และพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ เป็นบึงพลาญชัย [บึง-พะ-ลาน-ไช] จังหวัดร้อยเอ็ด และพระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน
108 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ร่วมพิธีเสกน้ำอภิเษก ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ปัญจมหานที (ปัน-จะ-มะ-หา-นะ-ที)
แปลว่า แม่น้ำอันยิ่งใหญ่ ๕ สาย ได้แก่ แม่น้ำ ๕ สายในชมพูทวีป คือ แม่น้ำคงคา ยมนา [ยม-มะ-นา] มหี [มะ-ฮี] อจิรวดี [อะ-จิ-ระ-วะ-ดี] และสรภู [สอ-ระ-พู] เชื่อกันว่าแม่น้ำทั้งห้านี้ไหลมาจากเขาไกรลาสซึ่งเป็นที่สถิตของพระอิศวร น้ำจากแม่น้ำดังกล่าวจึงศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ ในสมัยอยุธยาและธนบุรีไม่ปรากฏหลักฐานว่า ใช้น้ำจากปัญจมหานทีในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๔ ใช้น้ำจากแหล่งน้ำสำคัญของประเทศไทยเท่านั้น ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก น้ำสรงมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๑ ก็มิได้ใช้น้ำจากปัญจมหานที
อย่างไรก็ดี เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศอินเดียใน พ.ศ.๒๔๑๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นำนามาจากปัญจมหานทีมาด้วยในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ จึงมีน้ำปัญจมหานทีเจือในน้ำสรงมุรธาภิเษกด้วย
เบญจสุทธคงคา (เบ็น-จะ-สุด-ทะ-คง-คา)
หมายถึง แม่น้ำที่บริสุทธิ์ ๕ สาย อนุโลมว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับปัญจมหานทีในประเทศอินเดีย แม่น้ำ ๕ สายดังกล่าว ได้แก่ ๑.แม่น้ำบางประกง ตักน้ำที่บึงพระอาจารย์ แขวงเมืองนครนายก ๒. แม่น้ำป่าสัก ตักน้ำที่ตำบล ท่าราบ แขวงเมืองสระบุรี ๓. แม่น้ำเจ้าพระยา ตักน้ำที่ตำบลบางแก้ว แขวงเมืองอ่างทอง ๔. แม่น้ำราชบุรี ตักน้ำที่ตำบลดาวดึงส์ แขวงเมืองสมุทรสาคร และ ๕. แม่น้ำเพชรบุรี ตักน้ำที่ ตำบลท่าไชย แขวงเมืองเพชรบุรี น้ำจากเบญจสุทธคงคาเริ่มใช้ครั้งแรกในพระราชพิธีราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยเจือกับน้ำจากสระเกษ สระแก้ว สระคงคา สระยมนา [ยม-มะ-นา] ในแขวงเมืองสุพรรณบุรี
ต่อมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้นำน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญอื่นๆ เจือน้ำจากเบญจสุทธคงคาด้วย
ข้อมูล : คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
คำที่ควรรู้เกี่ยวกับ "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก" (๑)
การจารึกพระสุพรรณบัฏและแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล
พระราชกฤษฎีกา "เหรียญเฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ ๑๐"
ไปรษณีย์ไทย เปิดจอง เข็มที่ระลึก ตราสัญลักษณ์
ติดตามข่าวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้ที่นี่ >> www.pptvhd36.com/พระราชพิธีบรมราชาภิเษก