นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยคาดการณ์ผลจากมาตรการล็อกดาวน์ และมาตรการต่อเนื่อง เปรียบเทียบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ หลังการเปิดประเทศวันที่ 1 พ.ย. คือ
ททท.ยัน "ลิซ่า BLACKPINK" อดร่วม เคานต์ดาวน์ ค่ายวายจี ปฏิเสธ พร้อมร่อนจม.แจง
กทม.ชู 5 โครงการฟื้นเมือง รับเปิดประเทศ
กรณีที่ 1 ถ้าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดลดลง 25% เทียบกับก่อนล็อกดาวน์ ใช้ทุกภาคส่วนในการปฎิบัติตาม 4 มาตรการ คือ
1.มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล Universal Prevention
2. มาตรการ COVID-Free Area, Zone และ Setting
3. มาตรการคัดกรองด้วย Antigen Test Kit (ATK)
และ 4. ฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ตามเป้าหมายเดือนต.ค.-ธ.ค. 64
หากสามารถปฎิบัติตาม 4 มาตรการได้ จะส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ
กรณีที่ ควบคุมการแพร่ระบาดให้ลดลงประมาณ 15% เทียบกับก่อนล็อกดาวน์ คงมาตรการทั้งการปิดสถานที่เสี่ยงมาก งดดื่มสุราในร้านอาหาร จำกัดการรวมกลุ่ม จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการป้องกันการแพร่ระบาดลดลงได้บ้าง ฉีดวัคซีนต้องเป็นไปตามเป้าหมายเดือนต.ค.-ธ.ค. 64 ด้วย
ส่วนกรณีสุดท้าย การแพร่ระบาดกลับไปเท่ากับก่อนล็อกดาวน์ หรือสูงกว่า หากมีการผ่อนคลายมาตรการทั้งหมด และมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 น้อยกว่าเป้าหมายที่วางไว้ในเดือนต.ค.-ธ.ค. 64 ก็มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อกลับไปพุ่งสูงขึ้น
เปิดประเทศคาดเงินสะพัด 3 หมื่นล้าน
ทั้งนี้ถ้าไปดู จำนวนการฉีดวัคซีนในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 17 จังหวัด ภาพรวมเข็มที่ 1 ครอบคลุมแล้ว 77.7% เข็มที่ 2 ครอบคลุม 56.5% ส่วนจังหวัดที่ต้องจับตามองเนื่องจากมีการแพร่ระบาดหนักทั้งหมด 10 จังหวัด เช่น จังหวัดตาก ราชบุรี ปัตตานี และสงขลา ภาพรวมการฉีดวัคซีนเข็ม 1 ครอบคลุมอยู่ที่ 50.6% เข็มที่ 2 อยู่ที่ 35% โดยในจังหวัดดังกล่าว จะมีการจัดสรรวัคซีนเพิ่มขึ้น และเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมโดยเร็วที่สุด
"จำนวนผู้ติดเชื้อไม่ใช่ปัจจัยชี้วัดเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่ค่าความรุนแรงสถานการณ์ค่าเดียว ต้องดูองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ยังต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ เช่น ระบบการดูแลผู้ติดเชื้อที่มีการรองรับที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ