สะสมหุ้นจีน A-share กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เข้าพอร์ตมุ่งชนะเงินเฟ้อ
สหรัฐฯอัดยาแรงขึ้นดอกเบี้ย ทิ้งห่างไทย เสี่ยงเม็ดเงินไหลออก ลุ้น กนง.ประชุมนัดพิเศษ
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีตลาดลงทุนกังวลเงินเฟ้อสหรัฐฯที่พุ่งสูง กดดัน เฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ต่อมาสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนปะทุขึ้น ทำให้กังวลการน้ำมันดิบขาดแคลน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ซ้ำเติมด้วยปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลกที่ทรงตัวในระดับสูง จึงทำให้ปี 2561 เฟด ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก ที่ 0.25% ล่าสุดเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯพุ่ง ที่ 8.6% ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 40 ปี
“เฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง” สัญญาณเตือนฉุดเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
รวมถึงราคาพลังงานกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากจีนผ่อนคลายล็อกดาวน์ ทำให้ตลาดคาดว่า เฟด จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง และเข้าถือเงินสดมากขึ้น
ด้านนางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดการลงทุนในช่วงนี้ผันผวนกว่าปกติ ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ต่าง ๆ อยู่ในทิศทางขาลงจากข่าวร้าย ทั้งอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯพุ่งสูง และยังไม่เข้าสู่แนวโน้มขาลง เนื่องจากราคาพลังงานและบริการที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้นโยบายการเงินมีทิศทางตึงตัวขึ้น โดยล่าสุด เฟด มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.5-1.75% และเฟดยังส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นอีกทั้งหมด 1.75% ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2565 จะอยู่ที่ 3.4% มากกว่าเดิมที่ประเมินไว้ในการประชุมเดือนมีนาคมที่ 1.9%
ขณะเดียวกันจีนเริ่มกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งแบบระมัดระวัง หลังยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง แสดงให้เห็นว่ามาตรการการล็อคดาวน์ได้ผล อย่างไรก็ตามแนวโน้มผู้ติดเชื้อที่อื่น ๆ ในเอเชีย ทั้งฮ่องกงแ ละเกาหลีใต้ กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้จีนต้องกลับมาใช้มาตรการ Zero COVID จนถึงไตรมาส 3 และหากจีนกลับมาล็อคดาวน์จะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอีกครั้ง
กรุงเทพฯ ครองอันดับ 15 เมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก
วอลเลย์สาวไทย ปลอดโควิดยกทีม พร้อมดวลญี่ปุ่น เย็นนี้
ขณะที่สงครามรัสเซีย – ยูเครนยังคงยืดเยื้อ ทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากการเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทานเช่นกัน โดยความเป็นไปได้ต่อไปของสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับมหภาคทั่วโลก แบ่งเป็น 3 กรณี คือ
- สงครามยืดเยื้อ กระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ความน่าจะเป็น: สูง ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 1%
- สงครามทวีความรุนแรงและรวดเร็ว เกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ความน่าจะเป็น: ต่ำ ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 2%
- ความขัดแย้งคลี่คลาย ความน่าจะเป็น: ต่ำกว่า ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 0.5
ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า ช่วง2-3เดือนที่ผ่านมา ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องนี้เข้าใกล้เกณฑ์หดตัว ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อาจนำไปสู่ตลาดหมี หรือตลาดขาลง ในสภาวะเศรษฐกิจและตลาดเช่นนี้ แนะนำให้ปรับกลยุทธ์และสัดส่วนการลงทุนในประเภทสินทรัพย์สำหรับครึ่งปีหลัง 2565