“บีซีพีจี” ได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก ทริส เรทติ้ง ที่ A- แนวโน้ม “Stable” สะท้อนรายได้ที่แน่นอน และ Portfolio ที่กระจายตัวดี


โดย PPTV Online

เผยแพร่




“บีซีพีจี” ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจาก “ทริส เรทติ้ง” ที่ระดับ A- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ คงที่ สะท้อนถึงรายได้ที่แน่นอนจากสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของบริษัทฯ และสัดส่วนการลงทุนในแหล่งพลังงานที่หลากหลาย มีความพร้อมในการสร้างรายได้จากโครงการใหม่เพื่อชดเชยรายได้จาก Adder ที่ทยอยลดลง ขณะที่ยังมีโครงการในมือที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นจำนวนมาก

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating) ได้จัดอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทฯ ที่ระดับ A- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ คงที่ โดยการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวเป็นผลจากมุมมองของทริสเรทติ้งที่เห็นว่าบริษัทฯ มีสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มีการกระจายตัวเป็นอย่างดีโดยมีความหลากหลายของแหล่งพลังงานในการผลิต ซึ่งบริษัทฯ ได้ลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 30 โครงการ ช่วยลดการพึ่งพิงผลการดำเนินงานของโครงการใดโครงการหนึ่งหรือเพียงไม่กี่โครงการลงได้ โดยปัจจุบันบีซีพีจีมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และพลังน้ำ อยู่ในประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศอินโดนีเซีย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่ากลยุทธ์การลงทุนของบริษัทฯ ที่มีการกระจายตัวที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงให้แก่บริษัทฯ ทั้งในส่วนของประเทศที่เข้าไปลงทุนและแหล่งพลังงานในการผลิตไฟฟ้าที่เชื่อถือพึ่งพาได้ 

“บีซีพีจี” แถลงผลประกอบการปี 2563 EBITDA 3,849 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมอนุมัติปั...

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่บริษัทฯ มีรายได้ที่มั่นคงจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับหน่วยงานการไฟฟ้าภาครัฐหรือหน่วยงานสาธารณูปโภคภูมิภาคของประเทศที่บริษัทฯ เข้าไปลงทุน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งสร้างรายได้ประมาณร้อยละ 75-80 ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทฯ มีการผลิตไฟฟ้าที่สามารถคาดการณ์ได้เนื่องจากมีความผันผวนของแหล่งพลังงานและมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำ และมีผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่โรงไฟฟ้าอื่นๆ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ บริษัทฯ ก็ได้มีการบริหารความเสี่ยงในการดำเนินงานเป็นอย่างดี ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ มีการจ่ายไฟฟ้า (Capacity Factor) ได้เกินกว่าร้อยละ 90 นับตั้งแต่ที่บริษัทฯ เข้ามาลงทุนในปี 2556

บีซีพีจี เพิ่มทุน 1.3 พันล้านหุ้น คาดได้เงินหมื่นล้าน มั่นใจแผนการบริหารสินทรัพย์ ไม่มีผลต่อกระทบราค...

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังเห็นว่า บริษัทฯ ได้มีการเตรียมความพร้อม เพื่อลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม หรือ Adder ที่กำลังจะทะยอยลดลงตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป โดยบริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว จำนวน 2 แห่ง กำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 114 เมกะวัตต์  และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นอีก 75 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ในปี 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ การขยายกำลังการผลิตในประเทศญี่ปุ่นและ สปป.ลาว คาดว่าจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้แก่บริษัทฯ ที่ประมาณ 1.6-1.9 พันล้านบาทต่อปี

ในขณะเดียวกัน บีซีพีจียังมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาอีกหลายแห่งในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ ได้แก่ โครงการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจในการสร้างสายส่งไฟฟ้าขนาด 230 กิโลโวลต์ เพื่อส่งไฟฟ้าที่ผลิตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A และ Nam San 3B  ใน สปป.ลาว ไปขายยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อลดความเสี่ยงจากการชำระค่าไฟฟ้าล่าช้าของการไฟฟ้าลาว (EDL) โดยบริษัทฯ ได้ลงนามขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ภายในปี 2565  และโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 600 เมกะวัตต์ใน สปป.ลาว โดยบริษัทฯ จะจำหน่ายไฟฟ้าจากโครงการนี้ให้แก่ EVN ภายใต้รูปแบบการซื้อขายไฟฟ้าข้ามประเทศระหว่าง สปป.ลาว และเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2565 และจะเริ่มเปิดดำเนินงานได้ภายในปี 2566 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมแห่งแรกของ สปป.ลาว ซึ่งบริษัทฯ มีส่วนร่วมในการลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 45 และจะทำให้กำลังการผลิตของ     บริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 230 เมกะวัตต์ 

“ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่าบริษัทฯ จะซื้อกิจการโครงการที่เปิดดำเนินงานแล้วเพิ่มอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยอาจจะมีมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 การลงทุนขนาดใหญ่นี้ จะช่วยเร่งกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฯ เนื่องจากโครงการเป้าหมายเหล่านี้จะสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทฯ ได้ทันที” นายบัณฑิตกล่าว

นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ เป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับอันดับเครดิตที่ระดับ “A-/Stable” ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทฯ มีบทบาทสำคัญในเชิงกลยุทธ์และเป็นผู้สร้างกำไรอย่างมีนัยสำคัญให้แก่กลุ่มบริษัท ทั้งนี้ บริษัทฯ เป็นหน่วยงานที่ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าของบริษัทบางจากฯ ซึ่งทำหน้าที่สนับสนุนกลยุทธ์ของกลุ่มบางจากในการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน เพื่อที่จะเป็นกลุ่มบริษัทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันบริษัทฯ สร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คิดเป็นประมาณร้อยละ 30-40 ของทั้งกลุ่ม นอกจากนี้ กระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพของบริษัทฯ ยังช่วยบรรเทาความผันผวนที่อยู่ในระดับสูงของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทบางจากฯ ได้เป็นอย่างมากอีกด้วย
 

PR-โปรแกรมผลบอล-2_B PR-โปรแกรมผลบอล-2_B
TOP เศรษฐกิจ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ