วันนี้ (1 มีนาคม 2566) เวลา 09.30 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 199/2565 ระหว่าง นางสาวธนิกานต์ บำรุงศรี โจทก์ ศาสตราจารย์คลินิกสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ที่ 1 นายต่อพงศ์ เสลานนท์ ที่ ๒ พลอากาศโทธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ที่ 3 ศาสตราจารย์พิรงรอง รามสูต ที่ 4 รองศาสตราจารย์ศุภัช ศุภชลาศัย ที่ 5 จำเลย เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ (ชั้นตรวจฟ้อง)
พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยดังนี้
1.พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 28 บัญญัติให้ กสทช.จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไปก่อนออกระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งเกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมที่มีผลเป็นการใช้บังคับทั่วไป
แต่สำหรับกรณีการพิจารณารายงานการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคเป็นการพิจารณาเพื่อมีมติหรือมีคำสั่งเกี่ยวข้องหรือผูกพันเกี่ยวกับผู้รับใบอนุญาตเฉพาะราย คือ บริษัททรูและบริษัทดีแทคเท่านั้น ไม่ได้มีผลบังคับเป็นการทั่วไป จำเลยทั้ง 5
จึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปและผู้มีส่วนได้เสียหลักก่อน ส่วนกรณีไม่นำรายงานฉบับสมบูรณ์ของที่ปรึกษาต่างประเทศมาพิจารณาประกอบและการรับฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษาอิสระจำเลยทั้งห้าปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกประการแล้ว
2.จำเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับเรื่องที่พิจารณา จึงไม่มีเหตุต้องห้ามมิให้พิจารณาเรื่องทางปกครอง ไม่ปรากฏว่ากลุ่มบริษัททรูมีพฤติการณ์แทรกแซงการทำงานของจำเลยที่ 2 จนขาดอิสระในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. จำเลยที่ 2 จึงสามารถเข้าร่วมประชุม กสทช. เพื่อพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคได้
3.การรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคไม่ใช่เป็นการเข้าซื้อหุ้นหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อควบคุมนโยบายหรือการบริหารธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น
แต่เป็นการรวมธุรกิจที่บริษัทจำกัด (มหาชน) 2 บริษัทขึ้นไป ควบรวมกันแล้วนำไปจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน)ขึ้นใหม่ โดยบริษัททรูและบริษัทดีแทค สิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคลเดิม พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 27 (11) และพระราชบัญญัติประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 21 และมาตรา 22 ไม่ได้บัญญัติให้อำนาจ กสทช.ในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตรวมธุรกิจของผู้รับอนุญาตแต่อย่างใด
เพียงแต่ให้อำนาจ กสทช. เฉพาะในเรื่องการกำหนดมาตรการการป้องกันการกระทำอันเป็นการผูกขาดเท่านั้น และที่ผ่านมา กสทช. เคยพิจารณารายงานการรวม ธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งหมด 9 กรณี และ 9 กรณีดังกล่าว ได้มีการลงมติเพียงรับทราบรายงานการรวมธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตทั้งสิ้น ไม่มีกรณีใดที่ กสทช. มีมติอนุญาตหรือไม่อนุญาตการรวมธุรกิจแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 และที่ 2 ลงมติรับทราบรายงานการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทคจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายทุกประการ
4.การประชุม กสทช. นัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2564 วาระการพิจารณารายงานการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค กรณีจึงต้องบังคับตามข้อ 41 วรรคสาม ของระเบียบ กสทช.ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ พ.ศ. 2555 โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นประธานของคณะกรรมการ กสทช.
ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ทำให้การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ กสทช. 3 มีเสียงของผู้เห็นด้วยว่า การรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการ ประเภทเดียวกัน การลงมติของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำที่ถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
5.พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง กำหนดให้การประชุม การลงมติและการปฏิบัติงานของ กสทช. ให้เป็นไปตามระเบียบที่ กสทช. กำหนด ระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ มิได้มีข้อกำหนดให้กรรมการ กสทช. ต้องออกเสียง
ทุกครั้งทุกคราวที่มีการประชุม และมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการงดออกเสียงไว้การที่จำเลยที่ 3 งดออกเสียงในการประชุมพิจารณาการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่น จึงไม่มีเหตุแห่งการที่จะพิจารณาว่าจำเลยที่ 3 กระทำการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
6. มาตรการเฉพาะที่จำเลยทั้งห้ากำหนดเกี่ยวกับเรื่องการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูกับบริษัทดีแทคได้พิจารณาข้อกังวลในหลายประเด็น ได้แก่ อัตราค่าบริการและสัญญาการให้บริการ การเข้าสู่ตลาดและประสิทธิภาพการแข่งขันและการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย คุณภาพ
การให้บริการ การถือครองคลื่นความถี่ การใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน และเศรษฐกิจของประเทศ นวัตกรรมและความเหลื่อมล้ำทางดิจิตอล
เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 (มาตรา 77) วรรคสาม ทั้งยังเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรขึ้นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 27 (11) และพระราชบัญญัติประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา ๒๑ และมาตรา 22 ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งห้ากระทำผิดตามฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องต่อไป
จึง พิพากษายกฟ้อง