“ช่างหรั่ง-อัครินทร์” เริ่มต้นเล่าให้สองพิธีกรรายการ "บางกอกซิตี้ เลขที่ 36" ฟังว่า ก่อนหน้านี้ตนก็มีครอบครัวอบอุ่น ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี เนื่องจากคุณพ่อเป็นชาวต่างชาติ กระทั่งอายุ 6 ขวบ คุณแม่เสียฐานะที่บ้านก็เริ่มแย่ ครอบครัวต้องแยกกันอยู่ พี่สาวคนโตไปอยู่กับญาติฝ่ายแม่ น้องคนเล็กมีผู้อุปการะไปเลี้ยงดู เหลือเพียงพี่สาวคนรอง คุณพ่อ และตน 3 คน ทำให้เริ่มเกเร
"อายุ 15 ผมเริ่มถูกจับเข้าสถานพินิจครั้งแรกในคดีพรากผู้เยาว์ เราไม่ได้ทำ แค่อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เป็นคนทำ ผมถูกจับเข้าไปในสถานพินิจ แล้วคุณพ่อไปประกันภายหลัง พอเข้าไปอยู่ในสถานพินิจที่นั่นไม่ได้สอนให้เป็นคนดี มีแต่สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างจะเอาเปรียบซึ่งกันและกัน จนถลำลึกติดเป็นความคิดและพฤติกรรมเดินสู่เส้นทางความรุนแรง และยาเสพติด”
กลายเป็นว่าเมื่อออกจากสถานพินิจ ช่างหรั่งกลับรู้สึกว่าเท่ เริ่มลองยาเสพติด จนต้องเข้าๆ ออกๆ สถานพินิจอยู่อย่างนั้น 5-6 ครั้ง ในช่วงเวลาแค่ 3 ปี ระหว่างอายุ 15-18 ปี จนกระทั่งคุณพ่อเสียชีวิต และเขาได้ไปเป็นทหารเกณฑ์ด้วย แต่ก็ไม่สามารถทำให้คิดได้กลับมาติดยา ต้องติดเรือนจำทหารอยู่ 1 ปี 6 เดือน
"หลังจากนั้นก็ติดยามากขึ้น จำได้ว่าตอนนั้นอายุ 20 ปี 5 เดือน ศาลตัดสินจำคุก 10 ปี ก่อนเข้าไปกลัวไปหมด ชีวิตวัยรุ่นเราจะต้องหมดไป ข้างในจะเป็นยังไง แต่เมื่อเข้าไปกลายเป็นว่าเจอคนที่รู้จักในเส้นทางยาเสพติดสมัยที่อยู่สถานพินิจทั้งนั้น อยู่คุกใหญ่เจอระบบกดขี่ข่มเหง มีการสถาปนาหัวหน้าแก๊งกันเอง หรือข้างในจะเรียกว่า พ่อบ้าน จนวันหนึ่งเราก็กลายเป็นพ่อบ้านใหญ่ฝั่งพระนครซะเอง เหมือนเราเริ่มเกเรไปเรื่อย จนเพื่อนยอมรับ
สิ่งที่ได้กลับมาเมื่อได้เป็นพ่อบ้านใหญ่ คือความกลัวสุดขีด เพราะคนที่ขึ้นมาอยู่จุดนี้จะจบไม่สวย เพื่อนผมโดนทุบตายคาที่ อีกคนบาดเจ็บ เพราะมีคนรอจังหวะเล่น ล้มเรา เพื่อชิงตำแหน่งนี้ กลางคืนผมนอนไม่หลับเลย สุดท้ายเลยเขียนจดหมายไปหาพี่สาวให้มาหาผมอยากกราบลาเป็นวันสุดท้าย พี่สาวผมเป็นคนดีมาก เขาห่วงน้องจนชีวิตไปไหนไม่ได้ เจอผู้ชายดีๆ ก็ต้องพามาหาผมก่อนว่ารับได้หรือไม่ ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนได้ก็ตั้งใจว่าจะจบชีวิตไม่ให้เขาต้องมาห่วงอีก พี่สาวมาหาเห็นเราเหมือนคนสิ้นหวังก็เลยแนะให้ศึกษาเรื่องศาสนา ให้นึกถึงพระเยซูคริสต์ ทำให้ก็เริ่มศึกษาอธิษฐาน ทำให้รู้สึกจิตใจดีขึ้น ไม่อยากเกเร และขอว่าถ้าท่านมีจริงขอให้ได้ออกจากคุกจะปรับเปลี่ยนตัวเอง ผ่านไป 1 ปีก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพื่อนในเรือนจำไม่มีใครคาดคิด”
ช่างหรั่ง เล่าว่า เมื่อพ้นโทษ ขณะนั้นอายุ 28 ปีพี่สาวเกรงว่าจะเครียด ฟุ้งซ่านกลับไปยุ่งกับยาเสพติดอีก จึงพาไปอยู่ที่มูลนิธิบ้านพระพร เพราะที่นั่นมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจให้อดีตนักโทษที่ต้องการกลับตัว
“ที่นี่ปรับตัวให้เราทุกอย่าง ผมได้มีโอกาสพบกับคุณแหลม (ณรงค์ชัย อร่ามเรืองสกุล) เป็นครูสอนผมทำกีตาร์คนแรก จุดประสงค์แค่อยากให้ผมมีอาชีพกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างคนปกติ ผมเองเป็นคนชอบงานด้านศิลปะ จึงตัดสินใจเริ่มทำ อยู่ที่นั่น 4 ปี จำได้ว่าขายกีตาร์ตัวแรกได้เงิน 12,000 บาทภูมิใจมาก เริ่มมองตัวเองว่ามือสองข้างที่ไม่เคยทำอาชีพสุจริต เราทำในสิ่งที่มีคุณค่าได้”
ทุกวันนี้หลังออกจากมูลนิธิบ้านพระพร ช่างหรั่งได้เปิดร้านรับทำกีตาร์ และเพจชื่อ Be light Guitar โดยร้านตั้งอยู่ที่ถนนสรงประภา ซอย 15 มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น และยังทุ่มเทเวลาที่เหลือเกือบทั้งหมดให้กับการเป็นจิตอาสาเพื่อเข้าไปพูดและทำกิจกรรมในเรือนจำเพื่อทุกคนกลับตัวใหม่ ตนทำได้ ทุกคนก็ทำได้ ซึ่งสิ่งที่ภูมิใจอีกสิ่งหนึ่ง นั่นคือการได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของนักโทษที่กลับตัวกลับใจ และท่านนายกฯ ได้เซ็นชื่อบนกีตาร์ที่เขาทำเพื่อเป็นที่ระลึก
“ทุกวันนี้ผมทำกีตาร์เป็นอาชีพที่เลี้ยงดูครอบครัว กีตาร์ตัวหนึ่งเริ่มต้น 35,000 บาทสามารถสั่งทำได้ทั้งไซส์และสี โดยหนึ่งตัวใช้เวลาทำประมาณ 1 เดือน ผมทำคนเดียว และเริ่มเอาน้องอดีตนักโทษที่ออกมามาช่วยทำ เพราะบางคนด้วยรอยสักเต็มตัว หรืออะไรหลายอย่างเขาอาจจะไปสมัครงานยาก อนาคตเขาอาจจะชอบทำอย่างอื่นก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้ให้เขามีรายได้เลี้ยงชีพก่อน” สุดท้าย ช่างหรั่ง ยังย้ำด้วยว่า ยาเสพติดเลิกขาดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ตัวเอง และอยู่ที่ใจ หากเลือกไปอยู่ในเส้นทางที่ดี ทุกคนสามารถเลิกได้หมด แต่ถ้าใครคิดว่าไม่สามารถจะทำด้วยตัวเองได้ ยินดีที่จะให้คำแนะนำ ให้ความช่วยเหลือให้ติดต่อมาได้ทันที
ติดตามชมรายการ "บางกอกซิตี้ เลขที่ 36" ทุกวันจันทร์ -ศุกร์ เวลา 09.15 น. ทาง PPTV HD ช่อง 36 รับชมย้อนหลังทาง http://pptv36.tv/rkG และ https://tv.line.me/bangkokcity36