โดยเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มไม้สาละ ในพระราชอุทยานลุมพินีวัน ซึ่งอยู่ในเขตประเทศเนปาลปัจจุบัน เหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปีก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชลา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน
วิสาขบูชา 2564 วันเพ็ญพุธสุดอัศจรรย์แห่งปี
และเหตุการณ์สุดท้าย เมื่อ 1 ปีก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาละ เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือเดือนวิสาขะนี้ทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด เรียกว่าเป็นวันแห่งพระพุทธเจ้าโดยแท้
วันนี้เองที่เป็นวันประกาศชัยชนะของมวลมนุษยชาติ นับจากวินาทีที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติจากพระนางสิริมหามายาใต้ร่มไม้สาละ ทรงพระดำเนินไปได้ 7 ก้าว และทรงเปล่งอาสภิวาจา (วาจาประกาศความเป็นผู้สูงสุด) ขึ้นว่า …
เราเป็นผู้เลิศที่สุด เราเป็นผู้เจริญที่สุด เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่เรา
วาจาประกาศิตนี้ เป็นการประกาศเป้าหมายแห่งการอุบัติขึ้นของเจ้าชายสิทธัตถะ และเป็นการประกาศถึงศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ทุกคน ที่จะสามารถพัฒนาตนให้เป็นผู้เลิศที่สุด เจริญที่สุด
ประเสริฐที่สุด และทำให้ภพชาตินี้เป็นภพชาติสุดท้ายของเราด้วยกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสมณะ ชีพราหมณ์ ผู้หญิงผู้ชาย เด็กหรือคนแก่ ไม่มีมนุษย์คนใดที่มีขีดจำกัดในการก้าวถึงศักยภาพอันสูงสุดของการได้เกิดเป็นมนุษย์เลย
มนุษย์ทุกคนจึงควรมีเป้าหมายชีวิตและเข็มทิศที่ชัดเจน
ในคืนวันเพ็ญก่อนการตรัสรู้ เจ้าชายสิทธัตถะได้เสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวาย แล้วไปประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงนั่งขัดสมาธิแล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทรงตั้งจิตอธิษฐาน กำหนดใจให้สงบตั้งมั่นว่า
แม้เลือดเนื้อในร่างกายจะเหือดแห้ง เหลือแต่ หนัง เอ็นหุ้มกระดูกก็ตาม
หากยังไม่ได้บรรลุซึ่งพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์นี้เป็นอันขาด
ทรงแสดงให้เห็นถึงปณิธานอันเด็ดเดี่ยวของมหาบุรุษ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับมนุษย์ทุกคนว่า
หากเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจในการกระทำสิ่งใดแล้วไซร้ ย่อมสำเร็จผลตามที่ตั้งใจไว้ และทุกอย่างเกิดขึ้นได้จากการกระทำของตนเอง ไม่ใช่จากการอ้อนวอนขอหรือจากปัจจัยภายนอกแต่อย่างใด
ทันทีที่ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานว่า
เราตามหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ จึงเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสังสารวัฏมากมายหลายชาติ การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์
นายช่างผู้สร้างเรือนเอ๋ย บัดนี้เราพบท่านแล้ว ท่านจะสร้างเรือนไม่ได้อีกแล้ว จันทันอกไก่เราทำลายแล้ว เรือนยอดเราก็รื้อแล้ว จิตของเราเข้าถึงพระนิพพาน ได้บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว
“นายช่างผู้สร้างเรือน” หมายถึงตัณหา ความอยาก 3 ประเภท
ที่ทำให้คนต้องเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ ไม่จบสิ้น
เรียกว่าวงจรแห่งสังสารวัฏไม่มีทางสิ้นสุด
“จันทัน อกไก่” หมายถึง กิเลสน้อยใหญ่อื่นๆ
ส่วน “เรือนยอด” หมายถึงอวิชชา
พระพุทธองค์ทันทีที่ตรัสรู้ ก็ทรงเปล่งอุทานว่า
บัดนี้ เราได้ทำลายกิเลสตัณหาพร้อมอวิชชาได้แล้ว ได้บรรลุพระนิพพานแล้ว
พุทธปฐมอุทานนี้สำคัญมาก เป็นการประกาศชัยชนะของมนุษย์ที่มีเหนือกิเลสตันหาอุปทาน
และขจัดความไม่รู้ทั้งหลาย เป็นการแสดงถึงความดับของกิเลสตันหา เรียกว่ากิเลสนิพพาน
เป็นการตรัสรู้ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา ใต้ต้นสาละคู่ พระพุทธองค์ตรัสสั่งความแก่พระอานนท์ว่า ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายเมื่อเราล่วงลับไป
จากนั้น ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า “วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด
“ความไม่ประมาท” เป็นหลักธรรมสำคัญของพุทธศาสนา
ในพระไตรปิฎก ท่านกล่าวถึงคุณค่าของความไม่ประมาทว่า
“ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
ความไม่ประมาท เป็นทางแห่งความไม่ตาย
คนไม่ประมาท ไม่มีวันตาย
คนประมาท ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว”
ความไม่ประมาท คือ การมีสติสัมปชัญญะ การระลึกรู้สึกตัวในทุกขณะที่ดำรงชีวิตอยู่
และนี่คือ 3 พุทธโอวาทที่สำคัญในวันแห่งพระพุทธเจ้า วันสำคัญแห่งชัยชนะของมวลมนุษยชาติ.