อุปกรณ์คู่ใจหน้าฝนคงหนีไม่พ้น “ร่ม” ที่ช่วยให้ฝ่าฟันวันฝนตกสู่จุดหมายปลายทางหลากหลายสีสัน หลายดีไซน์ และขนาดตามแต่เราจะเลือกหามาใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
-ร่มกันแดด ที่เนื้อผ้าของร่มมีคุณสมบัติในการกันรังสียูวี
-ร่มกันฝน ที่มีสารเคลือบกันน้ำเป็นหลัก
ซึ่งร่มแต่ละชนิดก็มีวิธีการดูแลรักษาแตกต่างกันไป โดยร่ม 1 คันจะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ คือ ตัวร่ม, ด้ามร่ม และซี่ตัว
เรื่องเล่าของ "ร่ม" : ทุกคนใช้แต่อาจไม่รู้
ร่มติดรถเทรนด์ใหม่ของผู้ใช้รถจักรยานยนต์
วิธีการใช้งาน
เมื่อต้องการใช้งานร่มเริ่มจากการแกะสายรัดที่อาจจะเป็นกระดุม หรือหนามเตยออก สะบัดร่มเล็กน้อย ปลดตัวล็อกออก จากนั้นดันแกนร่มขึ้นจนไปถึงตัวล็อก และใช้งานได้ตามปกติ
เมื่อใช้งานเสร็จตั้งร่มให้อยู่ในแนวนอน หรือเอียงลงพื้น จากนั้นปลดตัวล็อกออกแล้วค่อย ๆ ดันแกนร่มจึงถึงตัวร่มในตำแหน่งที่ร่มหุบสนิท
วิธีการเก็บรักษา
แน่นอนว่าเรากางร่มเพราะต้องการกันฝน ดังนั้นร่มจึงเปียกตลอดเวลาหลังการใช้งาน ซึ่งอาจทำให้ส่วนของร่มที่ทำจากเหล็กนั้นเป็นสนิม ลดอายุการใช้งานของร่มลงไป ซึ่งวิธีการป้องกันเพื่อยืดอายุการใช้งานสามารถทำได้ดังนี้
- กางร่มทิ้งไว้หลังใช้เสร็จ ปล่อยให้แห้งสนิทก่อนเก็บให้อยู่ในลักษณะพร้อมพกพา
- ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดในอัตรา 1:1 เช็ดทำความสะอาดตัวผ้าของร่มเมื่อเกิดคราบไม่พึงประสงค์
- ใช้น้ำอุ่นเทลงบนภาชนะที่สามารถรองรับขนาดของร่มได้ จากนั้นผสมผงซักฟอก และแช่ร่มทิ้งไว้จนน้ำเริ่มใกล้จะหายอุ่น ใช้ฟองน้ำเช็ดทำความสะอาดตัวผ้าของร่ม แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าอีกรอบ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ผงซักฟอกในส่วนอื่นที่ไม่ใช่ผ้าร่ม ยกเว้นน้ำเปล่า จากนั้นอาจจะใช้ผ้าเช็ดหรือปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง
- เมื่อร่มขึ้นรา ให้นำไปทำความสะอาดในที่โล่ง เพื่อป้องกันการฟุ้งละอองของรา จากนั้นผสมน้ำส้มสายชูกับแอลกอฮอล์ (ที่ใช้ฉีดสำหรับฆ่าเชื้อทั่วไปทางการแพทย์) ในอัตราส่วน 1:1 แล้วชุบด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดในจุดที่ราขึ้น
- กางร่ม และตากแดดประมาณ 1ชั่วโมง ช่วยลดการเกิดเชื้อรา
- ใช้สเปรย์เคลือบกันน้ำฉีดที่ผ้าของตัวร่มก็ช่วยรักษาสภาพร่มได้เช่นกัน
หากไม่มีเวลาเราอาจจะเก็บรักษาทำความสะอาดช่วงพ้นหน้าฝนจากนั้นเก็บในที่แห้งสนิทและเมื่อนำกลับมาใช้ อาจจะทำความสะอาดอีกรอบ เพียงเท่านี้ร่มก็จะอยู่สู้ฝนกับเราไปอีกนานแสนนาน