พระมหาไพรวัลย์ ชี้ ถ้าไม่อยากเห็น พระ-เณร ชุมนุม ต้องเอาองค์กรทางการเมืองออกจากคณะสงฆ์


โดย PPTV Online

เผยแพร่




จากกรณีที่ มหาเถรสมาคม (มส.)มีมติขอความร่วมมือห้ามพระ-เณรชุมนุม แต่งกลอน เขียนบทความเสียดสีการเมือง เว้นแต่ใช้คติธรรมในเชิงสั่งสอน หรือตักเตือน นั้น

“ศรีสุวรรณ” ซัด พระ-เณร อยากชุมนุม ควรสึกเป็นฆราวาส

ด่วน! มติมหาเถรสมาคม ห้าม พระ-เณร ยุ่งการเมือง เอาผิดร่วมม็อบ ทำศาสนาเสื่อม ตั้ง 'สมเด็จฯ' สอบ

วันนี้ 16 พ.ย. 2563 พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ มองว่า ในอนาคตอาจมีการห้ามการแสดงความเห็นทั้งหมด พระจะออกไปเสนอข้อเรีบกร้องก็ไม่ได้เลย แต่งกลอนก็ไม่ได้ ต่อไปคงห้ามไม่ให้เล่นเฟซบุ๊ก จะโพสต์ข้อความเสนอความเห็นข้อเท็จจริงอะไรก็คงไม่ได้ ซึ่งมองว่าเรื่องนี้เป็นการละเมิดและขัดต่อหลักเสรีภาพ ส่วนตัวบุคคลอย่างชัดเจน

ส่วนพระจะสามารถแต่งกลอนอะไรได้หรือไม่นั้น พระมหาไพรวัลย์ บอกว่า  ก็สามารถแต่งได้ ในความเห็นของอาตมาไม่ว่าจะแต่งกลอน หรือ เขียนอะไร ในการที่จะสะท้อนความเป็นธรรม สะท้อนความเป็นจริง ไม่ได้หมายความว่ารัฐ หรือ คนที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้เป็นที่ตั้งของความดีงามทั้งหมด เมื่อทำเรื่องอะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็มีเสียงเตือนบ้างแต่รัฐก็ไม่ฟังเลย ฟังแต่เสียงเยินยออย่างเดียว ถ้าพระยอ หรือ ยกย่องว่า เป็นผู้มีธรรม เป็นรัฐบาลที่มีคุณธรรม สามารถทำได้เต็มที่เลยให้พระยอได้เต็มที่ แต่ถ้าพระวิจารณ์บ้าง เตือนบ้าง ก็จะมีการออกกฎ ออกคำสั่งแบบนี้

ในรายละเอียดเนื้อหาก็ไม่ได้ห้ามการแสดงออกแต่ให้แสดงออกโดยสร้างสรรค์ ถ้าเกี่ยวข้องทางการเมืองต้องใส่หลักธรรมทางศาสนา แต่ห้ามเสียดสี ห้ามวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้เกิดความรุนแรง พระมหาไพรวัลย์ ระบุว่า ความหมายคือต่อให้เราเขียนด้วยความเป็นธรรม เขียนเพื่อเตือนสติรัฐบาล เห็นในสิ่งที่รัฐบาลทำไม่ถูกต้อง พระจะสามารถทำได้ไหม อาตมาก็อยากฝากคำถามนี้ไปถึงรัฐบาล

เมื่อถามว่าสุดท้ายก็ยังมีคนมองว่าไม่เหมาะสม ดังนั้น ขอบเขตการแสดงออกทางการเมืองของพระสงฆ์ และสามเณร สามารถทำได้แค่ไหน พระมหาไพรวัลย์ กล่าวว่า ต้องมองพระ เณรในความเป็นปัจเจกบุคคล ทำไมถึงไปมองพระ เณร เป็นสถาบันทางศาสนาทั้งหมด ความเห็นก็ความเห็นของท่านระบุไป กลอนที่เขียนมานั้นเป็นกลอนของใครก็ให้เขาไปตัดสินเองว่ากลอนนั้นถูก หรือ ผิดอย่างไร ควรมองแยกเป็นเรื่องๆไป ไม่ใช่จะมาเหมารวมทั้งหมด  ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่

เมื่อถามว่า การแต่งกลอนจะมีความผิดคล้ายๆกับที่พระสงฆ์ สามเณรออกไปร่วมชุมนุม หรือไม่ พระมหาไพรวัลย์ มองว่า มาตรฐานไม่มีเลย อะไรที่เป็นเรื่องขัดใจรัฐ ก็ถูกกฎหมายเล่นงานหมด พยายามใช้ข้อทางกฎหมาย ใช้คำสั่ง เพราะตอนนี้ รัฐบาลเองนั่งคุมทั้งหมด คุมคณะสงฆ์แบบเบ็ดเสร็จ พระรูปใดไม่เป็นไปตามแนวทางที่รัฐอยากให้เป็น ก็ถูกคำสั่งเล่นงาน

ส่วนมติของมส.ที่ออกมาพระ เณร จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดหรือไม่ อาตมา มองว่า เป็นธรรมหรือไม่ กฎหมายทางโลกก็ยังมีการปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอด อะไรที่ไม่เป็นธรรมก็ทำให้เป็นธรรมอย่างมติที่ออกมาซึ่งอ้างกันอยู่ในปัจจุบัน เป็นมาตั้งแต่ปี 2538 จนถึงทุกวันนี้ปี 2563 ก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ไปดูปลีกย่อยรายละเอียดว่าคำสั่ง บางอันขัดต่อหลักของความเป็นธรรมอย่างไร ซึ่งคำสั่งมส. เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.2538 ก็ต้องเปลี่ยนแปลงบ้าง คุณไม่เคยคิดเลยว่าจะทำอย่างไรให้พระ เณร และ คณะสงฆ์ มีพื้นที่ในการสะท้อนแง่มุมความคิดเห็นบ้าง และ เป็นผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วม ที่ผ่านมาไม่เคยทำเรื่องนี้เลย ไม่เคยเปิดโอกาสให้พระหนุ่ม เณรน้อย ได้มีพื้นที่แสดงความคิดเห็นใดๆบ้าง จะใช้แต่คำสั่งอย่างเดียว ทำให้อาตมามองว่า เป็นการกดทับ พระ เณรจึงต้องออกไปพูดในม็อบนักศึกษา เพราะ พระ เณร ไม่มีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็น

ส่วนพื้นที่ที่ให้พระ เณร แสดงความเห็น จะต้องเป็นพื้นที่ใด พระมหาไพรวัลย์ ระบุว่า ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็ควรเปิดรับฟังความคิดเห็น ทำสังฆวิจารณ์ หรือ สังฆมติก็ได้ ว่าจะออกมติ หรือ คำสั่งอะไรต่อคณะสงฆ์ อยากให้มีศึกษาในเรื่องนี้บ้าง

ถ้ามีการจัดทำเรื่องนี้จะต้องหน่วยงานไหนรับผิดชอบ พระมหาไพรวัลย์ กล่าวว่า มีองค์ทางคณะสงฆ์อยู่จำนวนมาก มีทั้งมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่ทุกวันนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำตัวเป็นคณะสงฆ์ จะปกครองพระ เณรด้วยตัวเอง

ด้านนายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า พระ เณร แต่งกลอน เขียนบทความเสียดสีการเมืองนั้น เป็นหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ ที่ชอบด้วยพระธรรมวินัย ที่ทางสมาเถรสมาคมได้ออกแนวทางให้ปฏิบัติ โดยห้ามปฏิบัติ และ ให้ละเว้นการปฏิบัติในหลายๆเรื่อง ที่ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย หรือก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อคณะสงฆ์  หรือ ก่อให้เกิดดความแตกแยกขึ้นในสังคม โดยยึดตามคำสั่ง ปี 2538 ซึ่งต้องกลับมาดูว่าในมื่อโจทย์วางไว้ว่าห้าม ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง ก็แปลว่ากิจวัตรปฏิบัติ ของพระสงฆ์ ที่เข้าไปยุ่งกับการเมืองก็ต้องห้ามทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมชุมนุมทางการเมือง การเขียนบทกลอน บทกวีที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

ส่วนเรื่องการโพสต์ข้อความเกี่ยวข้องกับการเมืองผ่านโซเชียลมีเดีย นั้น นายสิปป์บวร กล่าวว่า จริงๆเรื่องนี้เคยมีข้อห้ามตั้งหลายครั้ง ในเรื่องความเหมาะสมของการใช้โซเชียลมีเดีย ส่วนการดูแลตรวจสอบก็ขึ้นอยู่กับเจ้าคณะปกครอง เช่น พระในวัดโพสต์โซเชียลมีเดียวเกี่ยวข้องกับการเมืองเจ้าอาวาสวัดก็จะต้องมรมาตรการดำเนินการ แต่ถ้าเป็นเจ้าอาวาสทำผิดก็จะเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าคณะตำบลที่จะต้องดูแลในเขตปกครองนั้นๆ ส่วนลงโทษก็ขึ้นอยู่กับเจ้าคณะปกครองสงฆ์ ที่จะวินิจฉัยพิจารณา

ส่วนความผิดลักษณะไหนที่จะต้องลงโทษให้ลาสิขาบท หรือ จับสึก นายสิปป์บวร กล่าวว่า ก็ต้องไปดูมูลเหตุของการกระทำความผิด และความเสียหายที่เกิดขึ้น โดย มส.ได้กำหนดหลักการของการสอบอธิกรสงฆ์ ไว้และได้ระบุโทษไว้ รวมทั้งพระธรรมวินัยก็ได้บัญญัติไว้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร ซึ่งทางพระผู้ปกครองสงฆ์ก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างท่องแท้อยู่แล้ว เพื่อให้กเดความเป้นธรรมของพระสงฆ์ทุกๆรูป และ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในกรอบพระธรรมวินัย ดังนั้น จึงมีไม่กี่รูปที่ทำผิด

ขณะที่ พระมหาไพรวัลย์ เห็นแย้งว่า พระ เณร ที่ออกไปชุมนุมก็พูดถึงการแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่โครงสร้างทั้งหมดไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อพระภิกษุสงฆ์ แม้กระทั่งไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ยังไม่สามารถไปฟ้องศาลปกครองได้เลย และ ควรเปิดพื้นที่ พระ เณร ได้แสดงความคิดเห็น เพื่อไม่ต้องลงถนนร่วมชุมนุม

เมื่อถามว่า หลายคนมองว่า พระภิกษุ สามเณร นักบวช ควรจะละทางโลก พระมหาไพรวัลย์ กล่าวว่า ควรเอาการเมืองออกจากคณะสงฆ์ไปเลย อยากถามว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นองค์กรทางการเมืองหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการให้ พระ เณร เข้าไปยุ่ง ก็เอาองค์กรทางการเมืองออกจากคณะสงฆ์ทั้งหมด ให้คณะสงฆ์ อยู่ตามพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง

TOP การเมือง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ