ไม่พบดีเอ็นเอ"ยิ่งลักษณ์"ในรถ เหตุสั่งไม่ฟ้อง ตร.พาหนี


โดย PPTV Online

เผยแพร่




หลัง PPTV เปิดภาพ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 ที่ถูกกล่าวหาว่าพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว เมื่อปี 2560 กระทั่งถูกดำเนินคดีทั้งอาญาและวินัย แต่ล่าสุดกลับเข้ารับราชการแล้ว สาเหตุเพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง สาเหตุสำคัญในรถคัมรีที่ถูกระบุเป็นพาหนะนำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกนอกประเทศด้าน จ.สระแก้ว ตรวจไม่พบอีเอ็นเอหรือหลักฐานอื่นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์นั่งไปในรถคันดังกล่าว

“ชัยฤทธิ์” รับทราบข้อหาผิดวินัยร้ายแรง คดีพา “ยิ่งลักษณ์” หนี

พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ รอดคดีอาญา พา “ยิ่งลักษณ์” หนี 

ข้อมูลที่ทีมข่าวตรวจพบคือ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ ปัจจุบันเป็นรองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เมื่อไปติดต่อสอบถามที่กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สนามศุภชลาศัย และจากการพูดคุยโดยไม่เปิดตัวของเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ยอมรับว่า พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ มาดำรงตำแหน่งที่นี่ได้พักหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ที่กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 เพราะถูกให้ไปประจำที่สำนักงาน ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านถนนศรีนครินทร์ ซึ่งวันนี้ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพียงว่า ให้กลับมาติดต่อใหม่ในวันจันทร์ หรือ วันอังคาร

ทีมข่าวย้อนไปที่ สน.ปทุมวัน เจ้าของสำนวนคดี พบกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวน ซึ่งให้ข้อมูลว่า คดีนี้พนักงานสอบสวน สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด 4 คน คนแรกคือ  พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ทถูกดำเนินคดี ฐานปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารราชการปลอม  กรณีพบป้ายทะเบียนรถซึ่งไม่ตรงกับรถที่ตรวจยึดได้ ข้อหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และข้อหา พาผู้ต้องหาหลบหนี

นอกจากนี้ ยังมี พ.ต.ท.สามิตร ไชยอิ่นคำ สารวัตรสืบสวน กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และ ด.ต.พรพิพัฒน์ มากบุญงาม ผู้บังคับหมู่ กองบังคับการอํานวยการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และอีก 1 คน คือเจ้าของรถ ที่ถูกดำเนินคดีต่างกรรมต่างวาระ

ในชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน มีความเห็นสั่งฟ้อง พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์กับผู้ต้องหาทั้งหมด แต่เมื่อไปถึงชั้นอัยการ อัยการมีคำสั่ง "สั่งไม่ฟ้อง" เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เป็นคนพา น.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนี และไม่มีคำให้การในสำนวนพนักงานสอบสวน เนื่องจากเจ้าตัวปฏิเสธในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งอัยการมีความเห็นส่งไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าจะแย้งหรือไม่แย้งแล้ว และเมื่อคดีอาญา ไม่มีความผิด ก็ส่งผลให้คดีทางวินัยไม่ผิด ทำให้ทุกคนที่ถูกดำเนินคดีขอกลับเข้ารับราชการได้ตามเดิม

“ศรีวราห์” เผยพบดีเอ็นเอ รองผบก.น.5 ในรถพา “ยิ่งลักษณ์” หนี

แต่เมื่อย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่มีการดำเนินคดี พบว่า พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ให้การกับ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย หน่วยเฉพาะกิจการข่าว คสช. ว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค.เวลาประมาณ 18.20 น. เป็นคนขับรถเก๋งสายตรวจยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีบรอนซ์ เทา หมายเลขโล่ 09807 ไปจอดรอรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ บริเวณลานจอดรถห้างโลตัส สาขาวัชรพล จากนั้นประมาณ 5 นาที ได้มีรถเบนซ์สีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน และไม่ทราบว่ารถเก๋งคันดังกล่าวมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั่งอยู่ด้วย

จากนั้นรถเบนซ์ได้ขับออกไปมุ่งหน้าไปทางหมู่บ้านชัยพฤกษ์ วัชรพล จึงได้ขับตามไป และรถเบนซ์ได้เข้าไปทางป้อมยามของหมู่บ้าน เข้าไปในซอย 23 ส่วน พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ จอดรถรถหน้าปากซอย ต่อมาประมาณ 2 นาที มีรถยนต์เก่งโตโยต้า รุ่นคัมรี สีบรอนซ์-เทา มีซัน รูฟ ติดแผ่นป้ายทะเบียน ณย 2123 กรุงเทพมหานคร ขับมาและขับนำรถยนต์ของ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ โดย พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ขับตามและทราบว่ารถยนต์โตโยต้ารุ่นคัมรี คันดังกล่าวมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั่งมา โดยเป็นการเปลี่ยนรถยนต์นั่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์

 จนถึงซอย 38 รถคัมรีได้ขับเข้าไปยังบ้านพักของ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ จากนั้น พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ขับรถคัมรี ซึ่งในรถมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเลขานุการ เป็นผู้หญิงอีก 1 คน นั่งอยู่ โดยทั้ง 2 คนใช้หน้ากากอนามัยสีดำปิดปากและจมูกไว้ และสวมหมวกแก๊ปสีเข้มไว้ทั้ง 2 คน จากนั้นได้มุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านราชพฤกษ์ วัชรพล เลี้ยวซ้ายไปที่ถนนรามอินทรา มุ่งหน้ามีนบุรี จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปถนนสุวินทวงศ์ มุ่งหน้า จ.ฉะเชิงเทรา เลี้ยวซ้ายไปทาง อ.พนมสารคาม เมื่อถึง ต.เขาหินซ้อน ได้เลี้ยวขวา มุ่งหน้า จ.สระแก้ว

ตม. ยัน ยังไม่พบ "พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์" เดินทางออกนอกประเทศ

 พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ขับรถมุ่งหน้า อ.อรัญประเทศ เมื่อถึงตัว อ.อรัญประเทศ เวลาประมาณ 22.00 น. ของวันที่ 23 ส.ค.จากนั้นได้ขับไปยังถนนสุวรรณศร เพื่อไปที่นัดหมาย โดยมีรถมารอรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ห่างจากสถานีรถไฟอรัญประเทศประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ ไม่มีไฟส่องสว่าง

พอไปถึง พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เห็นรถยนต์กระบะสี่ประตู สีทึบ โดยไม่ทันสังเกตยี่ห้อ และหมายเลขทะเบียนจอดอยู่ มีชายสูงประมาณ 180 ซม.มองเห็นหน้าไม่ชัดว่าเป็นชายไทยหรือไม่ รถคันดังกล่าวได้เปิดไฟกะพริบไว้ ซึ่ง พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้จอดรถคันที่ขับมาต่อท้าย

จากนั้นชายคนดังกล่าวได้เดินมารับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเลขาฯไปขึ้นรถคันดังกล่าวและขับออกไป ส่วน พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้ขับรถต่อไป อีก 500 เมตร จึงแวะจอดข้างทางเพื่อนอนพักชั่วคราว โดยตื่นมาเวลาประมาณ 02.00 น. วันที่ 24 ส.ค.จึงได้ขับรถกลับ กทม. ถึงบ้านพักหมู่บ้านชัยพฤกษ์ประมาณ 06.00 น.  และได้จอดรถคันดังกล่าวไว้ที่บ้าน จนเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ได้ขับรถคันดังกล่าวโดยเปลี่ยนทะเบียนเป็น ฌข 5323 กรุงเทพมหานคร แล้วนำแผ่นป้ายทะเบียนเดิม ห่อหนังสือพิมพ์ไปซุกซ่อนที่บริเวณเก็บยางอะไหล่ ภายในกระโปรงท้ายรถ แล้วนำไปให้ ด.ต.พรพิพัฒน์  ที่ จ.นครปฐม  ซึ่งเคยทำงานร่วมกันสมัยที่รับราชการอยู่ที่ กองบังคับการปราบปรามเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อนำไปแยกชิ้นส่วนทำลายหลักฐาน

วันต่อมา พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ได้โทรศัพท์ไปบอก ด.ต.พรพิพัฒน์ ให้นำป้ายทะเบียนที่ซุกซ้อนไว้ภายในรถไปทำลาย

 ทีมข่าว ได้รับคำยืนยัน จาก 1 ใน คสช. ที่ร่วมสอบปากคำ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ว่า ข้อมูลทั้งหมดได้จากการสอบปากคำ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ทำให้ คสช. ขณะนั้น แจ้งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และตำรวจมีการทำสำนวนส่งให้ ป.ป.ช. ในเวลาต่อมา แต่ คสช. ไม่ได้ติดตามต่อ และตัวเองก็เพิ่งทราบว่า อัยการสั่งไม่ฟ้อง แต่จากพยานหลักฐาน เส้นผมที่ไปนำมาจากบ้าน เพื่อจะมาตรวจเทียบกับคราบไคล หรือ เหงื่อ กับเบาะรถของ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ไม่ตรงกับดีเอ็นเอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำให้ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มาด้วยหรือไม่ จึงทำให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์กับพวกดังกล่าว

PR - ตารางคะแนน-2_B PR - ตารางคะแนน-2_B
TOP การเมือง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ