ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย สมาชิกภาพของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่ จากกรณีที่ ส.ส. 51 คน เข้าชื่อร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรขอให้ส่งคำร้องไปยังศาสรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยกรณี ต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า ซึ่งยาเสพติด ที่แม้จะเป็นคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ ซึ่งวันนี้(5พ.ค.)ศาลมีคำวินิจฉัย ว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ด่วน !! ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ "ธรรมนัส" ไม่มีลักษณะต้องห้าม ไม่พ้นส.ส.-รมต.
“ธรรมนัส” ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่เคยสารภาพค้ายาเสพติด
คดีนี้ประธานรัฐสภา ส่งคำร้องดังกล่าวต่อศาสรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และมีหนังสือเรียกเอกสารหลักฐาน จากคู่กรณีและกระทรวงการต่างประเทศ
เปิดคำวินัจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เหตุผล ที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รอด
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า มีข้อที่ต้องพิจารณาก่อนว่า คำว่า " เคยต้อง ดำพิพากษาอันถึงที่สุด" ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัคร รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หมายความถึงคำพิพากษาของศาลไทยเท่านั้นหรือไม่
รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนขาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญ" และวรรคสอง บัญญัติว่า "รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมขอ'ประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม"
จากบทบัญญัติดังกล่าว หมายถึง อำนาจอธิปไตย เป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตยคือมีความเด็ดขาดสมบูรณ์ ไม่อยู่ในอาณัติหรืออยู่ภายใต้อำนาจของรัฐอื่น ซึ่งการพิจารณาพิพากษาอรรถดีเป็นการใช้อำนาจตุลาการอันเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย ย่อมต้องไม่ตกอยู่ในอาณัติหรือภายใต้อำนาจตุลาการของรัฐอื่น
หลักการปกครองของประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์มีหลักการสำคัญคือหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และไม่ถูกประเทศอื่นแทรกแซงกิจการภายในของตนโดยไม่มีการทำข้อตกลงหรือยินยอม
ดังนั้นการบังคับตามคำพิพากษาของศาลต่างประเทศก็ดี การตีความให้คำพิพากษาของศาลต่างประเทศมีสถานะทางกฎหมายเช่นเดียวกับคำพิพากษาของศาลไทยก็ดี จึงไม่สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว ตามหลักอธิปไตยของรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศ
คำพิพากษาของศาลรัฐใดก็จะมีผล ในดินแดนของรัฐนั้น
ในบางกรณีรัฐใดรัฐหนี่งอาจให้การรับรองคำพิพากษาของศาลอีกรัฐหนึ่งและอาจบังคับให้ เป็นไปตามคำพิพากษานั้นได้ แต่ต้องมีการทำสนธิสัญญารับรองและบังคับตามคำพิพากษาตามหลักการต่างตอบแทน โดยมีเงื่อนไขสำคัญตามหลักการต่างตอบแทนในสนธิสัญญาว่ารัฐภาคีต้องผูกพันที่จะเคารพ และปฏิบัติตามผลของคำพิพากษาของอีกรัฐภาคีหนึ่งด้วย
ดังนั้นทั้งหลักการและทางปฏิบัติของรัฐเกี่ยวกับ การใช้อำนาจทางตุลาการจะได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศเพื่อยืนยันหลักความเป็นอิสระ ของตุลาการและความศักดิ์สิทธิ์ของคำพิพากษา เมื่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีการกล่าวถึงคำพิพากษา จึงต้องหมายถึงคำพิพากษาของศาลแห่งรัฐหรือประเทศนั้นเท่านั้น
ไม่รวมถึงคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ
การตรากฎหมายอาญาของแต่ละประเทศกำหนดการกระทำที่เป็นความผิด องค์ประกอบของความผิด ฐานความผิด และเงื่อนไขการลงโหษ ไว้แตกต่างกัน อีกทั้งหากตีความว่า "เคยต้องคำพิพากษา อันถึงที่สุด"
"หมายความรวมถึงคำพิพากษาของศาลต่างประเทศด้วย ทำให้ไม่อาจกลั่นกรองหรือตรวจสอบ ความชอบด้วยหลักนิติธรรมของกระบวนพิจารณาของศาลต่างประเทศดังกล่าว และขัดต่อหลักการต่างตอบแทน"
กล่าวคือศาลต่างประเทศไม่ต้องบังคับหรือยอมรับคำพิพากษาของศาลไทย ทำให้อำนาจอธิปไตยทางศาลของไทยถูกกระทบกระเทือนอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อข้อเท็จจริงในคดีฟังได้ว่าผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ เครือรัฐออสเตรเลีย ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่ใช่คำพิพากษาของศาลไทย ผู้ถูกร้องจึงไม่มีสักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10)
ศาสรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้กูกร้องไม่สิ้นสุด ลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) และความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (10) ด้วย
"เสรีพิศุทธ์"ยืดอกรับชงสื่อออสเตรเลีย แฉ"ธรรมนัส"