นายกฯเยือนซาอุฯ 25 – 26 ม.ค. นี้ ครั้งแรกในรอบ 30 ปีของรัฐบาลไทย


โดย PPTV Online

เผยแพร่




นายกฯ เดินทางเยือน ซาอุฯ 25 – 26 ม.ค. นี้ ครั้งแรกในรอบ 30 ปีของรัฐบาลไทย กระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 23 ม.ค. 2565 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล ได้เผยแพร่กำหนด​การ​การเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของ​ พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอ​ชา​ นายกรัฐมนตรี​ และรมว.กลาโหม​ ระหว่างวันที่ 25 – 26 ม.ค.​ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีช อัลซะอูด (His Royal  Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย​

ของไหว้ตรุษจีนราคาพุ่ง ชาวบ้านโอดจะอดตาย รัฐบาลช่วยอะไรไม่ได้

ลิงก์ดูบอลสดไทยลีก บุรีรัมย์ พบ ทรู แบงค็อก อาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 65

โดยการเยือนครั้งนี้เป็นการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี​ โดยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดเข้าเฝ้าฯ และพบหารือกับเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด​ มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ การเดินทางดังกล่าว ทำให้ต้องมีการเลื่อนการประชุม​ ครม.จากวันอังคารที่​ 25​ ม.ค.​ มาเป็นวันจันทร์ที่​ 24​ ม.ค.แทน

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย จากข้อมูลของเว็บไซต์ กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า

ความสัมพันธ์ทั่วไป

ซาอุดีอาระเบีย นับเป็นประเทศอาหรับประเทศแรกๆ ที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย (1 ต.ค.พ.ศ. 2500) ในชั้นแรกยังไม่มีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต คงมีเพียงการแลกเปลี่ยนผู้แทนทางกงสุลระหว่างกัน โดยไทยเปิดสถานกงสุลใหญ่ที่เมือง เจดดาห์ และซาอุดีอาระเบียเปิดสถานกงสุลใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2509 ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงแลกเปลี่ยนผู้แทนทางการทูตระหว่างกัน โดยยกฐานะสถานกงสุลใหญ่ของแต่ละฝ่ายขึ้นเป็นสถานเอกอัครราชทูต ซาอุดีอาระเบียได้ตั้งกงสุลใหญ่ซึ่งประจำการในประเทศไทยอยู่แล้ว คือ Sheikh Abdulrahman Al-Omran เป็นเอกอัครราชทูตคนแรก ส่วนไทยได้แต่งตั้งอุปทูตไปประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ เมืองเจดดาห์

ต่อมาเมื่อ 4 มิ.ย. 2518 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำซาอุดีอาระเบีย (เอกอัครราชทูตประสงค์ สุวรรณประเทศ) และเมื่อปี พ.ศ. 2527 ซาอุดีอาระเบียได้ย้ายเมืองหลวงไปยังกรุงริยาด คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อ 15 ม.ค. 2528 ย้ายสถานเอกอัครราชทูตไปยังกรุงริยาด และเปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์

ความสัมพันธ์ด้านการเมือง

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศดำเนินไปอย่างราบรื่น มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับต่างๆ โดยต่อเนื่อง จนกระทั่งการเกิดคดีโจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด คดีฆาตกรรมนักการทูตซาอุดีอาระเบีย (3 คดี รวม 4 ศพ) และคดีการหายสาบสูญของนักธุรกิจซาอุดีอาระเบียในระหว่างปี พ.ศ. 2532-2533

 ก่อนการเกิดคดีต่างๆ ข้างต้น ซาอุดีอาระเบียมีความสำคัญต่อไทยในหลายด้าน ได้แก่

1) เป็นตลาดแรงงานที่ใหญ่ที่สุดของไทยในตะวันออกกลาง โดยจากสถิติของกรมแรงงาน (กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ในขณะนั้น) ในบางช่วงเคยมีแรงงานไทยสูงถึง 300,000 คน นำรายได้เข้าประเทศโดยเฉลี่ยปีละ 9,000 ล้านบาท ขณะที่ในปัจจุบัน(ปี 2551) มีคนไทยอาศัยอยู่ในซาอุดีอาระเบียประมาณ 16,896 คน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานเก่าก่อนเกิดปัญหาความสัมพันธ์ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานฝีมือหรือกึ่งฝีมือ และคนงานในภาคบริการ เช่น ประกอบกิจการร้านอาหารไทย พนักงานธนาคาร และบริษัทห้างร้านต่างๆ เป็นต้น

2) แม้ความสัมพันธ์จะได้รับผลกระทบจากคดีที่เกิดขึ้น แต่จนถึงปัจจุบันซาอุดีอาระเบียก็ยังคงเป็นแหล่งพลังงานอันดับต้นๆ ของไทย โดยในช่วงปี 2543-2546 ไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียมากเป็นอันดับสาม (รองจาก UAE และโอมาน) เฉลี่ยปีละ 800-1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

3) เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญอันดับสองของไทยในตะวันออกกลาง และเป็นตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ที่สุดของไทยในตะวันออกกลาง

4) เป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม มีศาสนสถานศักดิ์สิทธ์ของชาวมุสลิมที่เมืองมักกะห์ และมาดีนะ ในแต่ละปีมีผู้แสวงบุญชาวไทยเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประมาณปีละ 1 หมื่นคน (ในปี 2548 มีชาวไทยมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ 10,451 คน และปี 2549 ประเทศไทยได้โควต้า 11,000 คน) 5) เป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือไทยในด้านต่างๆ เช่น Saudi Fund for Development ได้ให้เงินกู้ เพื่อการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเมื่อปี 2524 และ Islamic Development Bank ของซาอุดีอาระเบียได้ให้เงินช่วยเหลือในการก่อสร้างอิสลามวิทยาลัย จังหวัด ยะลา เป็นจำนวน 32 ล้านบาท เมื่อปี พ.ศ. 2528

คดีต่างๆ ข้างต้น มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์เป็นอย่างมาก โดยเป็นผลให้ซาอุดีอาระเบียมีมาตรการตอบโต้ไทย ประกอบด้วย การห้ามมิให้คนซาอุดีอาระเบียเดินทางมาไทย การไม่ออกวีซ่าให้คนไทยไปทำงานในซาอุดีอาระเบียเพิ่มขึ้น การไม่ให้การตรวจลงตราไป-กลับ ( Exit-re-entry Visa) แก่คนงานไทยในซาอุดีอาระเบียที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศ และการลดระดับตัวแทนทางการทูตเป็นระดับอุปทูต

TOP การเมือง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ