วันนี้ของ “น้องมายต์ ป่วนเมือง” จาก “เด็กดอยใจดี” สู่คุณแม่สู้ชีวิต


โดย PPTV Online

เผยแพร่




จากที่เคยโด่งดังเป็นพลุ ด้วยเพลง “เด็กดอยใจดี” กระทั่งสื่อมวลชนตั้งฉายาให้ว่า “เจ้าหนูมหัศจรรย์ล้านตลับ” วันนี้ “น้องมายต์ ป่วนเมือง” เติบโตขึ้นเป็นสาวเต็มตัว พร้อมบทบาทใหม่เป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง ซึ่งไม่เคยยอมแพ้ชีวิต แม้ไม่ได้โด่งดังหรืออยู่ในวงการบันเทิงแล้ว

 

หลายปีก่อน “น้องมายต์ ป่วนเมือง” เคยสร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลงไทย จากเพลง “เด็กดอยใจดี” โดยเฉพาะกับประโยคยอดฮิต "โพะ ออ แค เหราะ มา ฝะ...หยะ ฮะ เธอ ด๊ะ กิ..." ก่อนหน้าที่จะหายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิง และมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อ “น้องมายต์” หรือ “มายต์-บุณย์พัชรี แสงทองวีรกุล” ได้เข้าพิธีแต่งงานกับแฟนหนุ่ม เมื่อปี 2558 ล่าสุด “น้องมายต์” ที่ปัจจุบันอายุ 25 ปีแล้ว และกลายเป็นคุณแม่ที่มีลูกสาวสุดน่ารัก 1 คน ก็มาเปิดใจถึงเส้นทางชีวิตที่ผ่านมากับ 2 พิธีกรสาว “ตุ๊ก-ชนกวนันท์ รักชีพ” กับ “อ๋อม-สกาวใจ พูนสวัสดิ์” ในรายการ “บางกอกซิตี้ เลขที่36

ติดตามรายการ “Bangkok City เลขที่ 36”  >>> http://pptv36.tv/rkG

“หนูเป็นคนจังหวัดนนทบุรี จริงๆ พูดเหนือไม่เป็นเลยค่ะ แต่เพราะอาจารย์ที่แต่งเพลงต้องการแบบนี้ เลยให้ร้องแบบนี้ อาจารย์เป็นคนใต้ แต่แต่งเพลงได้ทุกภาค เพราะในอัลบั้มชุดแรกนี่ครบทุกภาคเลยค่ะ” อดีตนักร้องเด็กสุดดังเจ้าของเพลง “เด็กดอยใจดี” รำลึกความหลัง
“ที่มาที่ทำให้ได้เป็นนักร้องคือ หนูเป็นเด็กที่ทำกิจกรรมเยอะ รำ เต้น คือทุกอย่างเอาหมด เรากิจกรรมเยอะ แล้วก็ไปเรียนร้องเพลงกับเพื่อนที่ทำกิจกรรมด้วยกัน ไปเรียนร้องเพลงกับอาจารย์ ธีระพันธุ์ ชูพินิจ ตอนนี้ท่านเสียไปแล้ว ไปเรียนที่นั่นแล้ว อาจารย์นิรันดร์ โกไศยกานนท์ ที่เป็นคนแต่งเพลง ก็ไปหาเด็กๆ ในโรงเรียนสอนร้องเพลง คนนั้นไม่ใช่ คนนั้นก็ไม่ใช่ สุดท้ายมาจบที่เรา ตอนนั้นเราเพิ่งประสบอุบัติเหตุรถชน ประมาณ ป.3 ทุกวันนี้ยังมีแผลเป็นอยู่เลย วันที่อ.นิรันดร์ไปเจอหนู เป็นวันเกิดของอ.ธีระพันธุ์ ซึ่งเขาจัดเวทีใหญ่โต เราก็ขาพันไปทั้งแถบ แต่ก็ไปร้องเพลงเขาก็เห็นว่าเราสปีริตดี” 
หลังจากนั้น “อาจารย์นิรันดร์” ก็ได้พาน้องมายต์ไปเสนอกับค่ายเพลง แต่ไม่ผ่านการพิจารณาด้วยเหตุผลว่านักร้องตัวน้อยไม่กล้าแสดงออกเท่าที่ควร แต่ความผิดหวังครั้งนั้นกลับทำให้เป้าหมายในการเป็นนักร้องใกล้เข้ามา เมื่อ ''ถลา เสนานิคม'' ได้แนะนำให้ “อาจารย์นิรันดร์” พานักร้องตัวน้อยไปเสนอกับ บริษัทแมงป่องหรือว่าป่องทรัพย์ ซึ่งการแสดงที่เป็นกึ่งการออดิชั่นของ “น้องมายต์” ในครั้งนั้นก็ถือว่าเปลี่ยนชีวิตของเธอไปโดยสิ้นเชิง
 “หนูเป็นเด็กที่แก่นกะโหลกมาตั้งแต่เด็ก มีความคิดว่าที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่เอาเราเพราะว่าเขาว่าฉันไม่กล้าแสดงออก พอมาถึงที่นี่จะให้หนูทำอะไรหนูทำจะให้เต้นต่อหน้าคนในออฟฟิศหนูทำหมดเลย ให้ร้องเพลงตรงนี้หนูก็ร้องตรงนี้ให้ทำตรงนั้นก็ทำตรงนั้นคือแบบใส่เลยพี่ เขาก็เลยรับพอรับเสร็จเขาก็ทำเพลงออกมามันก็เลยบูมไปโดยปริยาย”

แม้อัลบั้มแรกจะโด่งดังเป็นพลุแตก แต่ความรุ่งโรจน์ก็อยู่กับเด็กน้อยไม่นานนัก 
“พอหนูได้ทำอัลบั้มชุดแรกหนูให้พ่อกับแม่ลาออกจากงานเลยให้มาอยู่กับหนู” น้องมายต์ กล่าว ก่อนจะตามด้วยช่วงตอนถัดมาที่เส้นกราฟทางอาชีพที่กำลังพุ่งขึ้นสูงก็มีอันต้องตกลงภายในเวลาอันรวดเร็ว
“ความที่เราเข้าวงการมาแต่เด็กแล้วก็เราขายความเป็นเด็ก ซึ่งจะให้เราไปขายความหวือหวามันไม่ถนัด การขายเพลงขายความเด็กขายความแปลกซึ่งมันไม่ติดตลาดเลยหยุดไปพักหนึ่ง”

แม้จะต้องพบอุปสรรคแบบไม่คาดฝัน แต่ในเมื่อได้เป็นคนเอ่ยปากขอให้พ่อแม่ออกจากงาน “น้องมายต์” จึงตัดสินใจค้นหาเส้นทางชีวิตเส้นใหม่เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปของครอบครัว

“เราไปหาที่ขายของกับเพื่อนแล้วเจอคนที่ใจดีอยากจะให้เรามาขายของเห็นว่าเราเป็นเด็ก ซึ่งเราก็ไป แต่ที่นี้ดีอย่างหนึ่งที่เป็นการจับล็อคแบบขาจร ซึ่งขาประจำต้องจ่ายรายเดือนส่วนเราเป็นขาจรก็ต้องจ่ายรายวัน ก็คือวันนี้จะได้ที่ขายตรงไหนโชคดีที่ไปเจอพี่คนหนึ่งที่เป็นเจ้าของล็อคอยู่แล้ว ซึ่งใครมีห้องตรงไหนจะได้ล็อคข้างนอกแล้วเขาเอาล็อคข้างนอกให้เราให้เราจ่ายค่าที่ตรงนั้นของเราไปเองและเขาก็จ่ายค่าห้องของเขา โดยวันแรกที่เข้าไปขายรองเท้าซึ่งลงทุนกับเพื่อน ซึ่งพอเข้าไปทำก็ขายดีมาก”

แม้ว่าผู้เป็นพ่อเป็นแม่จะมีความกังวลและห่วงในภาพลักษณ์ของตัวลูกสาว เมื่อต้องมาเป็นแม่ค้าขายของแบกะดินอย่างที่เป็นอยู่ แต่ความกังวลเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับ “น้องมายต์” เลยแม้แต่น้อย
“เขาก็กลัวเราอายว่าไม่อายหรอที่ทำแบบนี้และหลายอย่างด้วย แต่คำตอบของเราก็คือ ถ้าเราไปแคร์คนอื่นมากไปฟังคนอื่นมากเขาไม่ได้เอาเงินมาให้เรานะ ถ้าเขาแคร์เราแล้วเขาหยิบยื่นเงินให้เราเราก็จะไม่อะไรเลย ถ้าให้เงินเราเราจะแคร์คำพูดคุณ” น้องมายต์ กล่าว
“หนูถือคติอย่างหนึ่ง คือไม่อายทำกิน ถ้าเราอายทำกินเรายิ่งไม่มีกินแน่นอนเราจะไปนั่งแบมือขอใครใครจะมาให้เราเราก็ไม่มีใครและช่วงนั้นพี่ก็ทำงานออฟฟิศแล้วก็ไม่มีงานพ่อกับแม่เราก็ไม่มีงานเพราะเราให้ออกมาตอนนั้นภาระก็เราคนเดียว ทั้งค่าบ้าน ค่าเรียน”

และถึงธุรกิจขายรองเท้าจะไปได้ดี แต่แฟชั่นหรือกระแสนั้นตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ร้านของ “น้องมายต์” ก็เช่นกัน

“พอหมดยุครองเท้าก็บู๊อีกนะคะ ขายทั้งกิ๊ฟต์ช็อป ติดฟิล์มโทรศัพท์ ขายเสื้อผ้าอะไรขายหมด” น้องมายต์ กล่าว ก่อนจะตอบคำถามว่า เคยท้อแท้กับอุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตบ้างหรือไม่

“เคยค่ะ แต่ก็คิดว่าไม่รู้จะท้อเพื่ออะไร คือคนเรามันมีคนที่ลำบากกว่าเราเยอะมากเลยถ้าเราท้อคนหนึ่งก็ไม่มีอะไรจะเหลือเลยนะเรามาจากศูนย์เราจะกลับไปที่ศูนย์อีกเหรอ”

ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจะแบกรับภาระครอบครัวเอาไว้บนสองบ่าให้ได้ “น้องมายต์” จึงตัดสินใจเลิกเรียน เพื่อทุ่มเวลาให้กับงานขายของแทน
“พอเริ่มมาขายของแบบเต็มตัวเลยก็ไม่รู้ว่าจะเรียนทำไม เพราะหนูเป็นคนที่ประหลาดอย่างหนึ่งที่ไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร คิดแบบนี้คือไม่อยากไปเป็นลูกจ้างใครอยากทำอะไรด้วยตัวเองไม่ชอบแบบไปโดนเวลาทำอะไรไม่ถูกใจเขา สู้แบบเรามาขายของเราเป็นนายตัวเองมันดีกว่าก้เลยมาสู้ชีวิต พ่อกับแม่แฟนเห็นเราคบกันกับแฟนมานานแล้วไปมาหาสู่เขามาบ้านเราเราไปบ้านเขาเขาก็เลยตกลงให้แต่งงานกัน รู้จักกันมานี้เข้าปีที่ 13 แล้วค่ะแล้วมาคบกันจริงจัง 4-5 ปีแล้วตกลงมาแต่งงานตอนนี้ก็แต่งงานได้ 4 ปีแล้ว”
 และนั่นคือที่มาของ “น้องใยไหม” ลูกสาวสุดที่รักในวันนี้ ที่เป็นกำลังใจสำคัญสำหรับคุณแม่และคุณพ่อ ที่ตอนนี้ทุ่มเวลาให้กับร้านอาหารย่านถนนข้าวสารแบบเต็มตัว

ติดตามเรื่องราวประทับใจแบบนี้ได้ในรายการ “บางกอกซิตี้ เลขที่ 36” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.20 น. ทางช่อง PPTV HD 36

 

 

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ