โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม หนุ่มที่รักภรรยาสุดๆ ตลกใจมั่นคงไม่เคยนอกลู่นอกทาง เผยว่า เป็นเพราะอยู่ด้วยกันอดทนลำบากด้วยกันมามาก แม้ผู้ชายโดยเฉพาะตลกส่วนใหญ่ เวลาเจอแสงสีมีนั่นมีนี่ก็มักจะนอกลู่นอกทาง แต่ตนทำไม่ได้ ช่วงที่เล่นตลกใหม่ๆ ไม่มีรถ มีมอเตอร์ไซค์ขี่ไปทำงาน เมื่อมีรถก็อยากให้ภรรยานั่งไปด้วยกัน
“กบ เสาวนิตย์” พรสวรรค์บวกพรแสวง...จนมาเป็นดีว่าสาวเมืองไทย
อดีตผู้ประกาศรุ่นเก๋า “พลากร-ศันสนีย์” เผยเบื้องลึกหลังกล้องข่าว
"เมียผมไปด้วยกันกับผมทุกที่ แต่เมียผมไม่เคยวุ่นวาย เราก็เอาเขานั่งไป เขาก็ไปนั่งรอในรถ อย่างน้อยก็คอยเตือนใจเราไม่ให้นอกลู่นอกทาง ผมสงสารเขา ไม่อยากทำร้ายจิตใจเขา เป็นห่วง ไม่อยากให้อยู่บ้าน อย่างตอนถ่ายหนังโก๊ะจ๋าป่านะโก๊ะ 9 ภาค ภาคหนึ่งใช้เวลาถ่ายทำ 5 เดือน ทีมงานในกองถ่ายไม่มีใครเคยเห็นเมียผมเลย เขาอยู่แต่ในรถ ผมจะขับรถไปจอดใต้ต้นไม้ร่มๆ ทุกอย่างในรถมีพร้อมหมด พอพักเที่ยง ผมก็ออกไปกินข้าวกับเมีย พาเมียไปห้องน้ำ แล้วก็กลับมานั่งรอแบบนั้น"
ถามว่าทำไมต้องติดภรรยาขนาดนั้น ตลกคนดัง บอกว่า นอกจากจะอยู่ใกล้ๆ ยังอยากให้รู้ด้วยว่าตนมาทำงานจริง การทำงานมีความเหนื่อย ลำบาก หากวันไหนภรรยาไม่ไปด้วยก็จะต้องถามทันทีว่า ธุระที่ภรรยาจะไปสำคัญมากน้อยเพียงใด
"เรียกว่าเราเป็นเหมือนพ่อ เหมือนพี่ เหมือนพี่ เป็นแฟน ดูแลกันมาเข้าปีที่ 40 ปี บอกอย่างไม่อายว่า ผมมีลูกคนแรกตั้งแต่อายุ 15 ปี จนตอนนี้มีลูก 6 คนแล้ว ภรรยาแก่กว่าผม 2 ปี รู้จักกันเพราะผมเป็นลิเกไปแสดงข้างบ้านเขา เขาเองเป็นแม่ค้าขายขนมไข่เต่าอยู่แถวประตูน้ำ กรุงเทพฯ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ชอบผม ผมก็คุย จีบเขา จนได้เสียกัน และผมก็ต้องย้ายไปเล่นลิเกที่อื่น โดยที่ไม่ได้บอกเขา"
ถึงจะต้องไปเล่นลิเกที่อื่น แต่โป๊งเหน่ง ยอมรับว่า ยังคงคิดถึงภรรยาในใจตลอดเวลา และแปลกใจมากว่าภรรยาไม่มาตาม ไม่มาตื๊อเลย หลังจากนั้น 4-5 เดือน ด้วยความเป็นห่วงตนจึงกลับไปตามหาภรรยา แต่ภรรยาได้ย้ายร้านไป ทำให้ต้องตระเวนตามหาอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งได้เจอหน้ากัน เพียงแค่หันหลังมาเจอกัน ต่างคนก็ต่างโผเข้ากอดกันร้องไห้เหมือนในหนังในละคร ตั้งแต่วันนั้นก็จะคิดถึงภาพจำภาพนั้นตลอด
"เราหนีพ่อแม่มาอยู่ด้วยกัน เพราะพ่อตาไม่ชอบเขาไม่อยากให้ลูกได้กับลิเก เต้นกิน รำกิน เขาอยากให้ได้กับข้าราชการ คนทำงานมั่นคง จนมีลูก 2 คน ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ไม่มีข้าวกินต้องไปขอข้าวเย็นมากินกับน้ำปลาพริกป่น ทำให้ต้องแยกกันไปอีก ผมกลับไปหาพ่อ เขาเองก็กลับไปบ้านพ่อตา พ่อก็รับขวัญซื้อแหวนเพชร สร้อยทองให้ ปรากฎยังไงไม่รู้ต่างฝ่ายต่ายย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันอีก ก็เอาตรงนั้นมาซื้อของ เช่าห้อง"
การกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งเป็นจุดเปลี่ยนเมื่อ โป๊งเหน่ง ได้รับการชักชวนให้มาเล่นตลกคณะชวนชื่น มีงานทุกวัน จากคนตีกลองในวงก็พัฒนามาเล่นตลกแทนคนที่ไม่มา จนได้เป็นตลกตัวจริง เริ่มมีรายได้กว่า 1,000 บาทต่อคืน
"จากวันนั้นถึงวันนี้อะไรที่ไม่เคยกิน อะไรที่เขาอยากกิน จะไกลแค่ไหนก็ต้องไปหามาให้ภรรยากิน ผมจะสักรูปหมูที่อกข้างซ้าย สักชื่อเขาที่แขน ถึงจะโดนด่าแต่ก็อยากทำ สักครั้งแรกโดนไล่ออกจากบ้านก็เลยไปสักชื่อเขาเสียเลยที่แขนแถมสักวันที่เขาไล่ออกจากบ้านด้วย ทุกวันนี้ผมจะบอกภรรยาประจำ ความรักของเราสองคนเปรียบเสมือนแก้วน้ำ ต้องเติมลงไปให้เต็มให้ปริ่มล้น หากเริ่มพร่องก็ต้องคอยดูแลเติมเข้าไปให้เต็ม"
ในขณะที่ หมู-สมญา ภรรยาสุดที่รัก ที่ไม่ค่อยชอบแสดงออกสักเท่าไหร่ ย้ำว่า ที่ผ่านมาโป๊งเหน่งไม่เคยมีเรื่องเจ้าชู้มาให้กวนใจ กลับจากเล่นตลกก็จะมาช่วยเลี้ยงลูก ถึงบางครั้งตนจะมีราคาญบ้างเพราะต้องให้ไปด้วยทุกที เหมือนเป็นนกที่ถูกขังไว้ในกรงทองก็ตาม
บางกอก City เลขที่ 36 จันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.15 น. ทาง PPTV HD ช่อง 36 รับชมย้อนหลังทาง http://pptv36.tv/rkG และ https://tv.line.me/bangkokcity36
“เปเล่ ธัญญรัตน์” ย้อนเหตุการณ์เสียหลักทิ้งวงการ เพราะผู้จัดการเสียชีวิต