“เติ้ล – กระแต” โล่งอก “น้องมียา” หายขาด RSV


โดย PPTV Online

เผยแพร่




“เติ้ล – ตะวัน จารุจินดา” ควงภรรยา “กระแต เสาวคนธ์” อัปเดตอาการลูกสาว “น้องมียา” ป่วยเป็น RSV ลงปอด โล่งอกหายดีแล้ว สุดงงหมอบอกลูกสาวสูงได้แค่ 140 เซ็นติเมตร

(ข่าวที่น่าสนใจ) 

คุณพ่อสุดน่ารัก ตัวติดลูกเป็นเงาตามตัว

“ไวรัส RSV” ภัยร้ายหน้าฝนของเด็กเล็ก

ทำเอาแฟนๆเป็นห่วง น้องมียา ลูกสาวของ เติ้ล - ตะวัน จารุจินดา และ กระแต เสาวคนธ์ อย่างมาก หลังคุณพ่อคนเก่ง โพสต์ภาพลูกสาวตัวน้อยในโรงพยาบาลพร้อมเล่าว่าป่วยเป็น อาร์เอสวี (RSV) ลงปอด ล่าสุดทั้งคู่ได้ออกมาอัปเดตอาการลูกสาวให้ฟังว่า

“น้องมียา” ป่วยเป็นอาร์เอสวี (RSV) เห็นว่าลงปอดด้วย

กระแต : ก็ลงไปนิดหนึ่ง คือเราไปถึงโรงพยาบาลเร็ว หมอก็เลยตรวจเช็คเร็ว คือเอ็กซเรย์ปอดก็รักษาได้เร็วมาก อาการน้องแค่ไข้ขึ้นสูงประมาณ 40 แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าเขาไข้ขึ้นสูงต้องให้เขากินยาอะไร คือเราก็เลี้ยงเขามา 1 วันเต็มๆ คิดว่าเดี๋ยวไข้ก็ลง ปรากฎว่าไม่ลง และพอเราให้กินยาแรงไข้ก็ลง เขากวิ่งเล่นเหมือนไม่เป็นอะไรเลย แต่ก็มีอาการไอนิดหน่อย แต่พอ 6 ชั่วโมงผ่านไป พอมาวัดไข้ก็40”

คือเราวางใจว่าไม่เป็นอะไรมาก

กระแต : ใช่ค่ะ เพราะเรากำลังจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน เราก็แพ็คกระเป๋าละเพราะตั้งใจจะไปนอนทะเล 3 วัน พอขึ้นรถไป พอดีรถติดกลางทาง เขาก็ร่วงลงไปเหมือนหลับ แล้วก็หงอยๆเราก็คิดว่าจะเอาอย่างไรดี คืออีก 3 ชั่วโมงถึงทะเลละ คือถ้าไปถึงก็ 3 ทุ่ม ก็ตัดสินใจกลับบ้าน แต่แวะโรงพยาบาลนิดหนึ่ง ไปตรวจไข้หวัดใหญ่ สรุปเป็น อาร์เอสวี คุณหมอก็บอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้ก็ลงปอดหนักกว่านี้ ปอดอักเสบและอาจจะเป็นปอดเรื้อรัง เขาเป็นก่อนกำหนด เขาเกิดก่อนกำหนดเขามีเซ็นซิทีฟที่จะรับอะไรเหล่านี้อยู่แล้ว”

RSV มาทางไหน

กระแต : มาทางอากาศ มันเป็นโรคหนักในเด็ก คือถ้าติดผู้ใหญ่จะเป็นแค่เหมือนหวัดธรรมดา เราก็แค่เลี้ยงลูกอยู่ตอนนั้น ก็เข้าโรงพยาบาลอยู่ 3-4 วัน เราก็คิดว่าเราแข็งแรงแล้ว สรุปว่าโอนมาที่แม่ แม่ก็มีอาการปวดท้องเหมือนไวรัสลงกระเพาะ หมอก็บอกว่านี่แหละ แล้วโรคนี้มันกลับมาเป็นได้อีกเรื่อยๆ

เติ้ล : เป็นเชื้อไวรัส คล้ายโควิดนี่แหละแต่เป็นในเด็ก เป็นโรคประจำของเด็กมันจะเป็นหน้า ช่วงที่ใครๆเป็นอาร์เอสวี มียาเป็นมือเท้าปาก และช่วงที่เขาเป็นไข้หวัดใหญ่ มียาเป็นอาร์เอสวี คือถ้าเอาลูกเข้าโรงเรียน ทุกคนรู้จักโรคนี้ดี”

เป็นห่วงลูกไหม เพราะลูกเราป่วยบ่อย

กระแต : ขนาดเราเอาเขาเก็บไว้ที่บ้านอย่างดี พาเขาออกบ้านไปแป๊บเดียว เป็นอาร์เอสวี คือแต่ละโรคคือใหญ่มาก คือเราก็ชินนะและเราก็เรียนรู้ว่าถ้าเขาไปโรงเรียนมาอีกแน่นอน แต่เราไม่นอยด์นะเพราะเรารู้สึกว่าเรารักษาได้ และหมอที่เราไปหาเราก็ไว้วางใจเขา แค่เราเอาใจใส่ลูกเช็คเขา ไอไหม ตัวร้อนไหม เราคิดว่าอย่างไรก็รักษาทัน

เติ้ล : คือหลายคนอาจจะคิดว่ามียาป่วยบ่อย แต่เรารู้สึกว่าถ้าลูกป่วยนิดหนึ่งเราพาลูกเข้าโรงพยาบาลเพราะมันเซฟกว่า บางคนอาจจะบอกว่าไม่อยากให้เอาเด็กไปโรงพยาบาลบ่อย แล้วเราจะเอาลูกไปไหน แล้วรักษาอย่างไร ก็ต้องไปไหมเพราะเรารู้สึกว่าไปโรงพยาบาลมันเซฟสุดแล้ว และลูกเราได้น้ำเกลือมันก็ฟื้นตัวเร็ว

ก่อนหน้านี้ “เติ้ล” ห่วงที่ผม “น้องมียา” ไม่ค่อยยาวด้วย

เติ้ล : ใช่ครับ เพราะผมมันไม่ยาวสักที ผมคิดว่ามียาเขาเป็นเหมือนมังสวิรัต คือกินแต่ผักและผลไม้อย่างเดียว ไม่กินข้าว เนื้อสัตว์ไม่กินเลย มันเลยส่งผลกระทบถึงภูมิคุ้มกันเขาด้วย เพราะเขากินอาหารไม่มีประโยชน์มาก แต่พอเราเปลี่ยนพี่เลี้ยงใหม่มา เขาก็ดีขึ้น โตขึ้น กินข้าวเยอะขึ้น กินกับด้วยก็เริ่มแข็งแรงเพิ่มขึ้น

แล้วเรื่องพัฒนาการเป็นยังไงบ้าง

กระแต : หาเยอะ หาทุกหมอ แต่เอาเข้าจริงๆ คือหมอพูดมันใช้จริงกับเราไม่ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วย ตัวเด็กของเราด้วย แต่ก็แค่ฟังไว้เป็นไกด์ไลน์ ว่าถ้ายูให้ลูกทำแบบนี้ อย่างทำไมเราต้องเลิกให้ลูกกินนมตอนดึก คือเราอยากให้ลูกเราโต ดึกแค่ไหนเราก็ยัด ใครจะให้งดนมมื้อดึกเราไม่งด ให้กิน จนไปหาหมอฟัน หมอก็บอกว่าระวังฟันจะผุนะ เราก็เริ่มนึกได้เพราะถ้ากินตอนกลางคืน กินเสร็จเขาก็นอน สรุปก็ต้องงด แต่ก็ค่อยๆถอนออก ก็ให้กินน้ำเปล่าครึ่งนึง นมน้อยๆ จางๆ คือให้มันมีกลิ่น คือเขาก็ทำได้ เรื่องฟันผุก็ไม่ผุแล้ว ก็ให้ขยันแปรงฟัน ส่วนเรื่องโภชนาการเราก็พาไปหาหมอ 2 ที่ แล้วเราก็คอมแพร์ว่าการคุยกับหมอแต่ละท่านเป็นอย่างไร คุยกับบางท่านเราก็รู้สึกว่าโหดไปที่ลูกต้องกินผักเท่านั้น กินแป้งเท่านั้น คือบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเปอร์เซ็นต่างๆ ที่หมอบอกคืออะไร ผักบางอย่างต้มไปวิตามินก็ออกไป เราก็ไม่รู้่่เขาจะได้วิตามินเท่าไหร่

เราก็มองสุขภาพลูกในระยะยาวไหม

เติ้ล : ประเด็นเลยคือเขาต้องสูงกว่าแม่

กระแต : เรากลัวเขาตัวเล็ก วันหนึ่งเราพาลูกไปหาหมอภูมิแพ้ เสร็จเห็นห้องหนึ่งเห็นหมอดูเก่ง คือคิดเองก็เลยไปถามพยาบาลว่าหมอท่านนี้ตรวจอะไร พยาบาลก็บอกว่า หมอดูเกี่ยวกับฮอร์โมนพัฒนาการ กระดูกเราก็เลยบอกพยาบาลว่าเอาๆ ขอจองต่อเลยได้ไหม ขอไปหาหมอภูมิแพ้ก่อนเดี๋ยวออกมาเจอหมอคนนี้ พยาบาลก็ทำคิวให้ ก็เข้าไปกัน 2 คน หมอก็บอกว่า เขาเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักเท่านี้ พ่อสูงเท่านี้ แม่สูงเท่านี้ ลูกสูง 140 เขาบอกเลย

เติ้ล : เราก็ถามหมอว่าต้องทำอย่างไรที่จะทำให้ลูกสูงกว่านี้ หมอบอกว่าให้ทำใจ คำถามคือแล้วผมจะไปหาคุณทำไม (หัวเราะ) คือผมไม่เครียดเรื่องความสูงของลูกหรอก คิดว่าตลกเป็นไปไม่ได้

กระแต : คือเราเครียดนะ อยากให้เขาสูงกว่าเรา มันเป็นความหวังของเราอยู่แล้ว  แต่พอเราฟังหมอแล้วหมอบอกว่าเขาจะสูง 140 เซ็นติเมตร เราคิดว่าไม่ใช่ การเกิดก่อนกำหนดไม่น่าจะชี้ชะตาเขาว่าเขาจะสูง 140 เซ็นติเมตร ก็บอกว่าบวกลบ 5 เซ็นติเมตร เต็มที่ก็ 150 เซ็นติเมตร เราก็ถามว่าถ้าจะต้องเตรียมฮอร์โมนฉีดต้องเตรียมเท่าไหร่

เติ้ล : ตอนนี้เราไปหมอคนใหม่เพราะตอนนี้มียาเข้าเกณฑ์ละ ซึ่งคุณหมอบอกว่า มีความเป็นไปได้ที่ลูกจะมีความสูงเฉลี่ย 155 เซ็นติเมตรแหละ บวกลบ 9 เซ็นติเมตร คือสูงที่สุดของเขาคือประมาณ 164 เซ็นติเมตร เตี้ยสุดก็ 140 เซ็นติเมตร เราก็รอดูความเป็นไปได้ว่าจะสามารถขยับเขาให้สูงขึนไปอีกได้ไหม

กระบวนการคือโภชนาการเป็นหลักใช่ไหม

กระแต่ : ใช่ค่ะ กินกับนอน เรื่องนอนสำคัญ เพราะคุณหมอบอกว่าอยากให้เขาหลับสนิทเลย พอหลัง 3 ทุ่มเป็นต้นไป เพราะฮอร์โมนจะหลังทันที เขาถึงไม่อยากให้เด็กตื่นขึ้นมาดื่มนมกลางดึก เพราะเขาตื่นปุ๊บ ฮอร์โมนเขาจะหยุดหลั่งทันที

ขอบคุณภาพจาก IG tletawan 

 

 

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ