"เฌอเอม" น้ำตาร่วง แจงดราม่า ลั่นไม่ถอนตัวเอง ขอให้กองประกวดเป็นผู้ตัดสิน


โดย PPTV Online

เผยแพร่




จากกรณีดราม่าสั่นสะเทือนเวทีนางงาม เมื่อวันศุกร์ที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา กับประเด็นที่มีการออกมาเปิดเผยพฤติกรรมของผู้เข้าประกวดรายหนึ่ง ที่พี่เลี้ยงเข้ามาเป็นทีมงานกองประกวดฯ จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรง

วานนี้ (27 ก.ย.63)  ปุ้ย – ปิยาภรณ์ แสนโกศิ ผู้อำนวยการกองประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 ก็ได้แถลงข่าวถึงประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้น โดยพูดชัดเจนว่าจะไม่มีการปลด และยื่นคำขาดให้นางงามคนดังกล่าวเข้ามาสละสิทธิ์เองภายในเมื่อวาน (28 ก.ย.63) พร้อมชี้แจงว่าที่ต้องทำเช่นนี้ เพื่อความยุติธรรมกับเพื่อนๆคนอื่นที่ร่วมประกวดอีก 29 คน

“ปุ้ย ปิยาภรณ์” ขีดเส้นตาย นางงามโป๊ะแตก สละสิทธิ์ภายในวันนี้

ล่าสุดวันนี้ (29 ก.ย.63) เฌอเอม – ชญาธนุส ศรทัตต์ ผู้เข้าประกวดที่ถูกโยงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมผู้จัดการส่วนตัว และ ทนายนิด้า หรือ ทนายศรัณยา หวังสุขเจริญ  ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว เปิดใจเป็นครั้งแรก โดยเผยว่า

เตรียมเผยโฉม “มงกุฎเพชร” จากแบรนด์ระดับโลก บนเวที Miss Universe Thailand 2020

เคน : “เคนมีอาชีพเป็นผู้จัดการศิลปิน ในต้นเรื่องที่เขามีแฮชแทคมิจฉาชีพ 2020 บอกว่าเราเป็นมิจฉาชีพนั้น มิจฉาชีพคือคนไม่มีงาน หลอกคนไปเรื่อยๆแต่เรามีหน้าที่การงานที่ชัดเจนของเรา ในเรื่องต่างๆนานาที่เขาบอกมาเป็นข้อๆในส่วนนี้จะบอกว่าเราไม่ได้เป็นพนักงาน เราเป็นฟรีแลนซ์ เราทำงานด้วยความเอื้ออาทรซึ่งกันและกันตั้งแต่ปี 2019 นั่นหมายความว่า ถ้าจะมาบอกว่าเราเป็นมิจฉาชีพมันก็ไม่แฟร์กับเรา เพราะเราก็มีหน้าที่การงานของเรา เรามีแหล่งที่มาของรายได้ เราไม่เคยไปเบียด หลอกลวงเงินใคร จากส่วนนั้นมันเลยมีผลกระทบมาถึงน้อง ผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับทั้งเราและน้อง ทั้งหมดทั้งมวลคลื่นมันถาโถมมาที่เราทั้งสองคน แต่คนที่โดนเยอะที่สุดคือน้อง อยากจะให้เห็นใจน้องในส่วนนี้ด้วยครับ”

มีหน้าที่อะไรในกองประกวด

เคน : “ผมมีหนัาที่ดูแลสปอนเซอร์ชิป ผมขายงานโปรดักซ์ดูแลผมได้ โปรดักซ์ตัวนี้เข้ามาหลังจากที่มีการแถลงข่าวไปแล้วประมาณเกือบอาทิตย์ ในส่วนของคำว่าผู้จัดการผีผลัก มันคือเรา แฮชแทคอันนี้มันคือเราคนเดียวที่ใช้ ทำไมเราถึงใช้แฮชแทคอันนี้ เพราะก่อนหน้านี้ก่อนที่เราจะมาเป็นผู้จัดการดารา เรามีหน้าที่สอนเต้น สอนออกกำลังกาย แล้วเรายังมีการดูแลร่วมกันกับดาราที่เราดู คือดูแลฟิตเนส ในช่วงถ่ายผ่านที่เขาอยากจะเอาผู้จัดการมาเสริมทัพอีกคน เขาก็เรียกเราไปช่วยดูแล ไปๆมาๆมันเลยเหมือนผีผลักเราให้เรามาทำงานตรงนี้ เราเลยเรียกตัวเองว่าผู้จัดการผีผลัก แล้วเราก็ทำหน้าที่ของเราได้ค่อนข้างดี”

การที่ได้เข้ามาทำงานในจุดนี้ได้มีการทำสัญญากับกองประกวดไหม

เคน : “ไม่มีครับ (ที่ทางกองประกวดบอกว่าเรามีการเซ็นสัญญาในการทำงานกับเขา?) อันนั้นไม่รู้ว่าเท็จหรือจริง ถ้าจะถามเคน ก็บอกได้ว่าไม่มีครับในส่วนของการเซ็นสัญญา ผมเข้าไปในฐานะฟรีแลนซ์

ได้อยู่ในการประชุมตลอดไหม

เคน : “ถ้าเตรียมงาน ในวันแถลงข่าวเราก็ต้องอยู่ แต่วันแถลงข่าวเราก็ไม่ได้อยู่ทั้งสองรอบ เราไม่รู้ว่าการประชุมต่างๆมีทั้งหมดกี่ครั้ง แต่เท่าที่จำได้เราไปแค่3ครั้ง แล้วก็ไม่ได้เอาข้อมูลอะไรมาบอกน้องเลย”

ได้แจ้งกับทางกองไหมว่าเราดูแลน้องอยู่

เคน : “เราไม่ได้ดูแลน้อง แต่เราเป็นคนดูคิวและขายงานให้น้อง เวลาใครติดต่อมาเราก็จะเช็คว่ามันมีงานนี้นะ หรือจะเอางานนี้ไป ยูจะรับไหม เราไม่ได้ดูแลน้อง เราเป็นคนขายงานให้น้องและดูคิวให้น้อง ในสถานะนี้เราไม่ได้แจ้งกอง แต่ถ้าเราจะปกปิดจริงๆเราไม่ใส่เบอร์ลงไปหรอก แล้วเนียนกว่านี้ด้วย ไม่เดินไปหา ทำให้เรื่องเกิดดังข้ามคืนขนาดนี้ ถ้าจะปกปิดจริงๆเรื่องวันนี้ไม่เกิดแน่นอน เราไม่ได้มีเจตนาที่จะปกปิด”

“เฌอเอม” แจ้งกับกองประกวดว่าไม่มีผู้จัดการ ไม่มีคนดูแล

เฌอเอม : “ใช่ค่ะ ตอนนั้นเอมไม่มีผู้จัดการ เอมขอแจ้งคำจำกัดความ 4 ข้อในวงการบันเทิง โบรกเกอร์ กัลยาณมิตร พี่เลี้ยง และผู้จัดการ โบรกเกอร์คือนายหน้าหางาน จ๊อบบายจ๊อบ ดิลแค่เรื่องงานเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ยุ่ง กัลยามิตรก็คือเป็นเพื่อน พี่น้องที่หยิบยืมความช่วยเหลือใก้กันและกันชั่วครั้งชั่วคราว พี่เลี้ยง ขอโฟกัสไปที่พี่เลี้ยงนางงามเลย ก็คือจะดูแลทุกอย่างในกองประกวดทุกส่วน ไม่ว่าจะซ้อมเดิน เตรียมความพร้อมในส่วนของการพูด ภาพลักษณ์ ชีวิตประจำวันต่างๆ ตลอดเวลาที่อยู่ในกองประกวด ซึ่งมันก็จะจบเวทีต่อเวที เขาไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา

อีกอันคือผู้จัดการ อันนี้เป็นคำที่กว้างที่สุด และเป็นคำที่คนทั่วไปเข้าใจกันมากที่สุด ผู้จัดการก็คือคนที่เราให้จัดการเรื่องต่างๆในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นงาน หรือชีวิตส่วนตัว หมายความว่าเขาต้องรู้ทุกอย่างของเรา ทุกจุดในชีวิตของเรา ไม่ว่าตอนนั้นเราทำอะไรอยู่ เราเป็นใคร มีสถานะไหน มันเป็นความต่อเนื่องจนกว่าจะยกเลิกสัญญากัน ในสถานะนี้พี่เคนเป็นโปรกเกอร์ และเอมกับพี่เคนไม่ได้มีสัญญาต่อกัน

ยืนยันว่า “เคน” ไม่ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเรา

เฌอเอม : “เอมต้องขอโทษจริงๆ(ไหว้) ในความผิดพลาดด้านการสื่อสารที่เอมพยายามจะอธิบายให้รวดเร็วและง่าย เพราะตอนนั้นเรากำลังจะได้พบกับคุณปุ้ยแล้ว”

“เคน” เข้ามาดูแลน้องตั้งแต่เมื่อไหร่

เคน : “รู้จักกับน้องมา2ปีกว่า”

เห็นว่าจริงๆเรามีพี่เลี้ยง แต่พอมาถึงวันจริงโดนเท

เฌอเอม : “จริงค่ะ ตอนแรกที่จะลง บอกตรงๆไม่ได้คิดถึงมงกุฎมากมายนัก เพราะมันเป็นครั้งแรกแล้วเราก็รู้สึกว่าอยากจะลองในสิ่งที่มันแตกต่าง ซึ่งคนๆนั้นเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการส่งนางงามมาก่อนเลย มาถึงจุดที่เราต้องสัมภาษณ์ ต้องออกสื่อเยอะ กลายเป็นเขาไม่สามารถทำงานเหล่านี้ได้ ทำให้เขาไม่เอ็นจอยกับมัน นั้นคือเหตุผลที่ว่าถ้าไม่ไหวจริงๆเราส่งตัวเองต่อดีกว่า เพราะมันเป็นงานที่ต้องทำด้วยแพลชชั่นระดับนึง แล้วเราก็ชอบตรงนี้ไปแล้ว แล้วแนวทางที่มันต้องเข้าใจร่วมกัน มันสำคัญกว่าการซัพพอร์ตด้านอื่นๆ”

คนสงสัยเคนเอาข้อมูล กลยุทธต่างๆในกองมาบอกเรา

เฌอเอม : “เอมยืนยันด้วยชีวิตว่าไม่เคยเห็นคีย์เวิร์ดอะไรมาก่อน”

ตั้งแต่เข้ามาสมัคร “เคน” ได้พูดได้แนะนำอะไรไหม

เฌอเอม : “ไม่นะคะ ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษเลยเพราะเราไม่ได้พูดกันเรื่องชีวิตส่วนตัวอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าพี่เขาเป็นโบรกเกอร์ เมื่อก่อนก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนี้ด้วย ระหว่างที่รู้จักกัน เอมอยู่ต่างประเทศค่อนข้างเยอะ เวลากลับไทยพี่เคนก็หางานให้บ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหาแล้วได้ทำ ระหว่างประกวดพี่เคนก็ไม่ได้มีแนะนำอะไรด้วย คนที่รู้จักคนในกองมาก่อน แม้จะมาขอคำแนะนำเล็กน้อยมันก็ต้องเข้าข่ายเดียวกัน

ทางฝ่ายกองประกวดบอกว่าเห็นพฤติกรรมที่สนิทสนมของเราทั้งคู่จนเกินไปตอนที่ไปหัวหิน เลยเป็นที่มาของเรื่องนี้

เฌอเอม : “เอมคุยกับทุกคนในกองด้วยความเป็นมิตร เอมอยู่กับทุกคนด้วยความสุข สนุกมากๆซึ่งสิ่งนี้...(สะอื้น) เราไม่ได้ทำเพื่อคะแนน แล้วที่หัวหิน เอมขอถามว่าเป็นที่พี่ๆอยากคุยกับเอม หรือเป็นที่เอมอยากเดินเข้าไปให้สัมภาษณ์ เอมถูกพาไปหน้าแบลคดร็อปแล้วไม่ได้มีใครอยู่กับเอมตรงนั้น ทุกๆคำถามที่สื่อถาม เอมมีเวลาประมวลผลเท่าๆกับช่วงเวลาออดิชั่น ในทุกสัมภาษณ์สดเอมก็ไม่เคยชะงัก อาจจะมีพูดผิดบ้างแต่ก็ไม่เคยหยุดคิดนานเกินไป แล้วสามารถถามกรรการผู้ทรงเกียรติทั้ง17ท่านได้เลยว่าเขาส่งคำตอบให้เอมหรือไม่ ขอให้กรรมการทุกท่านเป็นพยานให้เอมด้วยค่ะ (ยืนยันไม่ได้สิทธิพิเศษใดๆ?) เอมไม่ได้รับอะไร สิทธิพิเศษมันคือการเอาเปรียบ ในเมื่อเราทำทุกอย่างเหมือนเพื่อน เราเป็นเหมือนเพื่อน เราทำพร้อมเพื่อน แล้วสิทธิพิเศษอันนั้นมันคืออะไร

คิดว่าโดนกีดกันไหม

เฌอเอม : เอมก็ไม่ทราบค่ะ เอมทราบว่ามันมีความเข้าใจผิดกันเกิดขึ้น อาจจะด้วยการสื่อสารภายในอะไรบางอย่างที่เอมก็ไม่ทราบ เพราะหลังจากที่เอมพบกับพี่ปุ้ยมันก็เกิดโพสต์นั้นขึ้น โดยที่เราไม่ทันตั้งตัว

เคน : ในส่วนของวันนั้นที่จะเข้าไปคุย ด้วยเราเองรู้อยู่เต็มอกในฐานะที่เราดูแลสปอนเซอร์ชิฟ เราเข้าไป หันซ้ายหันขวาไม่มีใคร ด้วยความที่น้องทำงานเหนื่อยมาก น้องทำงานไม่ไหว เลยได้ตกลงกันว่า หนูทำงานไม่ไหว หนูเหนื่อยมาก หันซ้ายหันขวาไม่เจอใคร ถ้าหนูจะให้พี่มาช่วยซัพพอร์ตหนู โอเคไหม เราก็บอกว่าแต่พี่เป็นคนในกองนะ จะยังไง ฉะนั้นเราควรจะเข้าไปหาผู้ใหญ่ไหมในการหาโพสซิชั่นร่วมกันว่าเราควรจะทำงานยังไงให้การทำงานของเรา ถ้าเราจะต้องไปดูน้องแล้วเราจะต้องไม่น่าเกลียดในสายตา จะได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันโอเค แล้วแนวทางแก้ไข จะเป็นไปในทางไหน แต่เราก็ไม่ได้รับฟีตแบกอะไร

เฌอเอม : ก่อนหน้านั้นเอมมีปัญหาสุขภาพเล็กน้อย ด้วยความที่เราส่งตัวเอง เลยทำให้เราทำงานต่อไม่ไหว เนื่องจากเรามักจะใช้เวลาดูแลตัวเอง แล้วไหนจะงานที่ต้องทำให้กองด้วย เราไม่รู้จักใคร พี่เคนมีศักยภาพที่จะทำในจุดๆนี้ เลยตั้งใจจะพาเขาไปแนะนำให้พี่ปุ้ยรู้จัก ในฐานะที่ต่อจากนี้เขาจะเป็นคนส่งเรา แล้วปรึกษาว่ามันจะโอเคไหม เพราะผู้ใหญ่ในกองก็เหมือนพ่อแม่ของกอง ถ้าเราเป็นลูกแล้วมีปัญหา เราต้องวิ่งหาพ่อแม่ วันนั้นเราก็เข้าไปโดยไม่ได้ปิดบังอะไรเลย เบอร์หนูก็ไม่เคยเอาลงแม้แต่ครั้งเดียว

พอไปบอก “พี่ปุ้ย” แบบนั้นเขาบอกว่าไง

เฌอเอม : “ตอนนั้นเขาไม่ได้พูดอะไร เขารับทราบและบอกว่าให้พักผ่อนก่อน เพราะตอนนั้นเอมเพิ่มมาจากโรงพยาบาล คือวันรุ่งขึ้นไม่ต้องเข้ากอง ให้พักผ่อนก่อน ค่อยไปเจอกัน

เคน : “เขาไม่ได้พูดว่าการมาอยู่ตรงนี้มันไม่ได้ เราก็มาทราบอีกทีคือตอนที่โพสต์ ก็ตูมเลย

ทิ้งระยะนานไหมที่ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน จนกลายเป็นดราม่า

เฌอเอม : “คืนวันนั้นเลย ถ้าคำตอบคือเขาไม่เห็นด้วยเราก็ยินดีว่าถ้าไม่สามารถซัพพอร์ตตัวเองต่อได้ เราก็จะให้ทางกองช่วยหาคนซัพพอร์ตตามวิจารณญาณของกอง แต่เนื่องจากเราไม่ได้รับคำตอบอย่างนั้น เราก็แค่ยอมรับ คิดว่ามันคงโอเค จนกระทั้งเห็นโพสต์นั้น เขาไม่ได้ตอบปฎิเสธ เขาก็แค่โอเค ดูแลสุขภาพ กลับบ้านค่ะ”

เขาพูดผ่านสื่อให้เราสละสิทธิ์ด้วยตัวเอง

เฌอเอม : บอกตรงๆว่าตกใจนะคะเพราะวันนั้นเราไม่ได้คุยไว้ก่อน เราอาจจะพูดในแง่ปัญหาสุขภาพว่าถ้าวันนึงเราไม่ไหว เราไม่อยากจะล้มลงไปในกอง หรือล้มลงต่อหน้าสื่อให้ดูไม่ดี เราขอเขาอย่างเดียวคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราอยากจะเดินในวันไฟนอลพร้อมกับเพื่อนอีก29 คน(ร้องไห้) เพราะว่าเราเริ่มมาพร้อมกัน สิ่งสำคัญมันไม่ใช่มงกุฎที่อยู่บนหัวของเอม แต่มันคือการที่เราได้เดินไปถึงเป้าหมาย แล้วมันคือการแสดงความขอบคุณต่อทุกคนที่สนับสนุนทำให้เอมมายืนอยู่จุดนี้ เพราะเอมเดินไปพร้อมกับความรักของคนมากมายจริงๆ

วันนั้นเราพูดกับเขาเท่านี้ สละสิทธิ์หรือไม่มันเป็นเรื่องง่ายมาก มันแค่คำกับตัวเขียนไม่กี่คำเท่านั้นเอง แต่เอมไม่ต้องการที่จะสละสิทธิ์ที่ชอบธรรมของเอม ออกไปโดยที่เอมไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย ที่ผ่านมาเอมอยากบอกว่าเอมมีเรื่องที่อยากพูด แล้วมันเกิดมีการฟังความข้างเดียวขึ้นค่อนข้างเยอะ ของคุณกองที่ให้เอมได้แถลงข่าว ขอให้กองเป็นผู้พิจารณาในการสละสิทธิ์ของเอมก็แล้วกันค่ะ”

เราตัดสินใจแล้วไม่สละสิทธิ์เองแน่นอน

เฌอเอม : “ค่ะ เพราะถือว่าตอนนี้เขาได้รับทราบแล้วคะว่ามันเกิดอะไรขึ้น และที่สำคัญมันไม่ใช่แค่กอง เอมมาอยู่ตรงนี้ได้ด้วยความรัก ความชอบของหลายๆคน ฉะนั้นเอมจะอยู่ตรงนี้ต่อได้มันไม่ใช่แค่กอง หรือเอม แต่เป็นประชาชนทุกคนต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเรื่องบางเรื่องถ้าสังคมอยากตัดสิน เอมก็จะขอให้เป็นการตัดสินของสังคม เอมอยากให้คนในอนาคตมองย้อนกลับมาแล้วเป็นผู้ตัดสินความชอบธรรมให้เอมเองดีกว่า

ทางกองเป็นคนโยนให้เราแสดงสปิริตการสละสิทธิ์

เฌอเอม : เอมขอแจ้งเรื่องนึงนะคะปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจากการใช้สายตาหนัก หรือจากอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันทำให้เอมพิมพ์เป็นจดหมายแล้ว และต้องส่งให้กองด้วย แต่เบื้องต้นเขาขอจดหมายพร้อมใบรับรองแพทย์ ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนเป็นจดหมายที่ไม่มีใบรับรองแพทย์ ดังนั้นเอมจึงไมแน่ใจว่าหากหลักฐานทางการแพทย์ของเอมไม่ได้รับการเปิดเผย ใบสละสิทธิ์หรือแม้แต่เหตุผลของเอม มันจะกลายเป็นหลักฐานเลื่อนลอยเท่านั้น เอมจึงตัดสินใจที่จะไม่ส่งจดหมายไปเมื่อวานนี้ค่ะ”  

หลังจากเกิดดราม่าต่างๆแล้ว จะยังไงต่อไป เรายังเข้ากองไปเก็บตัวกับเพื่อนๆได้ไหม

เฌอเอม : ต้องบอกว่าที่ผ่านมาเอมไม่ได้รับการติดต่อจากกองในเรื่องของการทำกิจกรรมนะคะ เอมไม่ทราบว่าเพื่อนไปไหน เขาทำอะไร เขาไม่ได้อนุญาตให้เอมเข้าไปในกอง สิ่งที่เขาติดต่อมีแค่เรื่องใบสละสิทธิ์เท่านั้น เอมพร้อมกลับเข้าไปทำกิจกรรมในกองเสมอ เรื่องการอยู่ในกอง เรื่องการตัดสิทธิ์ ในเมื่อเราขอให้เป็นวิจารณญาณของกองแล้ว หนูจะน้อมรับทุกอย่างที่ผู้ใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจ แต่ถ้าให้เอมพูดอะรสักอย่าง เอมจะไม่ขอสละสิทธิ์ด้วยตัวเอง เพราะมันคือสิ่งสุดท้ายที่ชอบธรรมกับเอมที่สุดในตอนนี้

มองว่ากองบีบให้สละสิทธิ์ไหม

 เฌอเอม : มันเป็นการเข้าใจผิด แต่หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายลงหลังจากสัมภาษณ์วันนี้ เอมคิดว่าคำว่าสละสิทธิ์ สิทธิ์ครึ่งนึงอยู่กับเอม และอีกครึ่งหนึ่งอยู่กับเขา ถ้าเราสละให้เขา 100 เปอร์เซ็นต์เราก็เหลือศูนย์ แต่ถ้าเขาตัดเราก็เหลือศูนย์เหมือนกัน เขาคงบีบให้เราสละไม่ได้ หรือเขาให้เราสละไม่ได้ จุดนี้ผู้ใหญ่จะตัดสินใจอย่างไรในสิทธิ์ของเอม ขอให้มาจากทางฝั่งผู้ใหญ่”

ถ้าผู้ใหญ่ให้เราสละสิทธิ์เอง แล้วมาใหม่ปีหน้า

 เฌอเอม :  ก็ไม่เป็นไรค่ะ สละสิทธิ์เองก็ได้ แต่ทางอื่นก็มีค่ะ  

เรายืนยันใช่ไหม วันไฟนอลอยากไปเดินกับเพื่อนๆ

เฌอเอม : อันนี้ต้องแล้วแต่ทางกองจะกรุณา จะให้พื้นที่เอมไหม เอมไม่ต้องการผ่านเข้ารอบ เอมไม่ต้องการตอบคำถาม เอมไม่ได้ต้องการเป็นผู้ชนะตั้งแต่ต้น การชนะที่แท้จริงคือการได้ทำอะไรที่เราต้องการทำเพื่อสังคม และทำเต็มที่ และถ้าได้เดินไฟท์นอลก็คือการชนะแล้ว การเดินวันนั้นคือสิ้นสุดการเดินทางทั้งหมดของเอม

กับมุมมองที่ว่า เราอาจะถูกกลั่นแกล้ง เรารู้สึกยังไง

 เฌอเอม : มีหลากหลายคนสื่อสารกัน บางทีข้อมูลที่ผิดพลาดเล็กน้อย เวลาที่คลาดเคลื่อนนิดเดียวอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจที่ใหญ่หลวงได้  เบื้องหลังจากที่เอมกลับไปแล้วเกิดอะไรขึ้น เอมไม่ทราบ แต่ที่ระเบิดออกสู่สารธารณะชน จนกระทั่งความเข้าใจผิดลุกลามใหญ่โต หรือกระทั่งจะเป็นการเสริมความเข้าใจผิด มันคือโพสต์นั้นอาจจะเสริมข้อมูลที่ไม่ได้จริงทั้งหมด ถ้าไม่เดินไปบอกเหตุการณ์ก็จะไม่เกิด แต่เราไม่รู้ว่าเราจะไปต่อไหวไหม ที่สำคัญความซื่อสัตว์และความจริงใจของเอม เอมมีปัญหาและตัดสินใจไปปรึกษา และพาคนที่คิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้เอมได้เข้าไปด้วยค่ะ ที่ถามว่าทำไมไม่เคลียร์หลังบ้าน ต้องถามผู้โพสต์ เอมก็อยู่ตรงนั้น แต่ไม่ได้รับการตอบรับที่คล้ายคลึงกับโพสต์นั้นเลย

เพื่อนๆนางงามก็ได้รับการแนะนำข้อมูล

 เฌอเอม : อันนี้มันวัดไม่ได้นะคะ ได้รับการแนะนำ สมมติหนูรู้จักกับพี่นิด้า หนูเดินไปถามชุดนี้สวยไหม ชอบลิปสติกสีไหนมากกว่านั้น แค่เล็กน้อยก็เป็นคำแนะนำถูกไหมคะ และถ้าเราทำกับเรื่องเล็กน้อยถี่ๆ ทำทุกวันแต่ไม่มีพันธะต่อกัน จะผิดกฎกองไหม ถ้าเรารู้จักคนๆนั้นมาก่อน โดยไม่มีสถานะในกองมาก่อน ถ้าพี่ๆสื่อที่เคยพบเอม จะรู้ว่าเอมใช้เวลาหน้ากล้องมากๆ เอมให้สัมภาษณ์เต็มที่และเต็มใจ ไม่เคยเดินออกมาก่อน ไม่เคยมาช้า มีบ้างตารางในกองที่ทำให้เราจัดการบางอย่างไม่ทัน อันนั้นมันอยู่ที่ความลงตัวของแต่ละคน เอมไม่มีปัญหากับการทำงาน มีบ้างไปนั่งพักดมยาดม เอมขอยื่นยันเอมเต็มที่กับทุกวันและตั้งใจมาตลอดที่จะทำให้ดีที่สุด

ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ หลังจากกลับจากหัวหินก็ไม่ได้เจอเพื่อนๆ วันที่เกิดเรื่องเอมไปโรงพยาบาล ก็ไมได้เจอเพื่อนๆ แต่ก็ยังพูดคุยกันอยู่ หลายคนก็เป็นห่วงที่เราหายไป ก็ให้กำลังใจ ที่หายไปไม่ได้จะไม่ไปร่วมประกวด พอพบว่ามีปัญหาสุขภาพ เลยไปปรึกษากับผู้ใหญ่ ว่าทำต่อคนเดียวคงไม่ไหว เลยเรียกพี่เคนเพื่อจะพาไปเจอกับพี่ปุ้ย แล้วนั่นคือวันสุดท้ายที่ได้พบคนในกอง

เป็นเพราะเราเป็นจุดสนใจหรือเปล่า เป็นสาเหตุหนึ่งไหม

เฌอเอม : อันนี้ไม่ทราบค่ะ มันตอบไม่ได้ ถ้าเราบอกว่าเราโดนเตะตัดขา หมายถึงว่าเรากังขากับวิจารณญาณ และการให้คะแนนของกรรรมการ ซึ่งเอมมีความเคารพเวทีนี้มาก เอมมีตัวตนและได้พูด ใครก็ตามที่ได้มง เพื่อนคนไหนก็ตาม เอมยินดีด้วยจริงๆ มีหลายคนที่เอมเชียร์ ทุกคนมาตรงนี้มีอนาคตไม่ได้เล็งที่มงกุฎอย่างเดียว ปีหน้าก็ไม่แน่ใจ บอกตรงๆเจอเหตุการณ์นี้ไม่รู้จะไปต่อยังไง ที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าจะเป็นซัมวัน คิดแค่ว่ามาทำให้ดีที่สุด คืนที่ชิตเปลี่ยนมาเร็ว ไม่ทันตั้งตัว การประกวด ขอจบที่ปีนี้ เวทีนี้ ปีที่เอมเป็นตัวของตัวเองจริงๆเอมจะแบกความคาดหวังหรือรู้สึกอะไร ปีนี้เป็นปีแรก และอยากให้เป็นปีเดียว เพราะเราทุ่มไปหมดแล้วทุกอย่าง (ร้องไห้)

จากโพสต์ มีเรื่องของพฤติกรรมเราจากคนในกอง อยากชี้แจงอะไรบ้าง

เฌอเอม : เอมอยากให้ถามเพื่อนๆของเอม สิ่งเหล่านี้ไม่มีพยาน แต่เอมเชื่อว่าอย่างน้อยเราทำดีกับใคร เขาจำมิตรภาพนั้นได้ มีบ้างที่เหนื่ย ช้า แต่ไม่ได้ทำด้วยความตั้งใจหรือจงใจ เอมทำเท่าที่เอมไหว และจะทำจนไม่ไหว ถ้าทำไม่ว่าอะไรก็ตามให้คนในกองขุ่นข้องหมองใจด้วยความจำเป็นหรือไม่จำเป็น เอมต้องขอโทษทุกคนจากใจ แต่เอมเชื่อว่าเพื่อนๆ ทุกคนของเอมตอบได้ว่าตลอดที่ผ่านมา เราดีกับเขาจริงๆไหม

ในข้อสัญญา 30 คนสุดท้าย มันครอบคลุมขนาดไหน

เฌอเอม : อันนี้ต้องให้พี่นิด้าพูดค่ะ

ทนาย : ขออนุญาติเกริ่นก่อนนะคะ เรียกเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายก็ได้ เพราะใช้คำว่าทนายความ ทุกคนต้องแตะต้องไมได้ เราไม่อยากให้รู้สึกว่าเราเอาทนายความเข้ามาเกี่ยวข้องทุกมิติของชีวิต วันนี้ที่มีทนายความมานั่งด้วย เพราะน้องได้เดินเข้ามาปรึกษา เรื่องเกิดตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน จนวันนี้ทุกคนรอน้องออกมาแถลงข่าว ทุกคนจับจ้องว่าเพราะอะไรถึงยังไม่มาเสียที จริงๆน้องติดต่อมาต้นๆเลย น้องไมได้ออกมาเพราะไม่รู้ว่าจะสามารถทำได้ขนาดไหน อย่างไร และไม่เกิดผลกระทบกับอีกฝ่ายหนึ่ง เราพยายามดูระยะเวลามาตลอด จนคิดว่าวันนี้มันจำเป็นต้องออกมาพูดแล้ว และสิ่งที่พูดอาจจะไปกระทบใครบ้าง แต่ต้องถือว่านี่คือการออกมาพูดเพื่อปกป้องส่วนได้เสียของตัวเราแล้ว นิด้าได้เข้ามาให้คำปรึกษาน้อง ในส่วนของตรงนี้ของพี่เคน ที่ว่าเป็นผู้จัดการผีผลัก ที่คุยทั้งหมด พี่เคนไม่ได้เซ็นสัญญาเลยไม่ว่าฝ่ายไหน ในกองประกวดมีหลายฝ่าย กติกาอะไร เป็นอย่างไร ไม่เคยนำมาชี้แจง แสดงให้รับทราบ นิด้ามองว่าในส่วนตรงนี้ ทางกฎหมายถ้าเรามุ่งเน้นให้ความสำคัญกับอะไร ปกติถ้าเราทำงานเป้นมืออาชีพ ต้องมีลายลักษณ์อักษรมายืนยัน ดังนั้นในส่วนของตรงนี้ เมื่อเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ได้มีส่วนของเข้าร่วมประชุมทุกครั้ง ที่พี่เคนกล่าวไปว่าเข้าประชุมในบ้างครั้ง อยากให้ชี้แจงว่ามีซีเคร็ทอะไรที่เรากังวล แล้วตัวน้องได้รับประโยชน์ตรงนั้น อยากให้ไขข้อตรงนี้นิดนึง เพื่อที่เราจะได้แนะนำต่อว่า น้องควรอะไรกับมันหรือเปล่า ทนายเองยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในรายละเอียดตรงนั้น  

อีกประเด็นหนึ่ง ในเมื่อข้อเท็จจริงตรงนี้ไม่ได้ชัดเจน และคลุมเครืออยู่ว่าใครสถานะอะไร อย่างไร ในการที่ถูกกล่าวขวมดวาเป็นมิจฉาชีพ2020 ไม่รู้ว่าหมายถึงใคร อาจจะทั้งคู่หรือเปล่า จริงๆเราค่อนข้างที่จะกังวลในการใช้คำนี้ ถ้าพูดภาษาชาวบ้านง่ายๆคือโจร พูดถึงความแย่ที่สุดของเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ของเขาถ้าก่อปัญหามาก คุณไม่ควรจะรู้จักกันตั้งแต่ต้นในการเข้ามาประกวด เรื่องที่แย่ที่สุดคือการผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่ใช่เรื่องของการกระทำความผิดอาญาอะไรที่มันจะเลยเถิดของความเป็นโจร น้องเลยเข้ามาพูดคุยว่าหนูสามารถออกมาเคลียร์ตัวเองได้หรือยัง เลยควรต้องทำแล้วแหละ เนื่องจากแฮชแท็กดังกล่าว สังคมโซเชียลตอนนี้ทุกคนคือมิจฉาชีพ โกง ในตอนนี้อยากให้ดูว่าจุดตัดของความโกงอยู่ตรงไหน

ในเรื่องของฟ้องร้อง อันนี้พูดจริงๆ แม้แต่เป็นทนายความ ยังชีพด้วยการได้รับเงินจากการว่าจ้างว่าความ แต่ไม่ได้ประสงค์จะยุยงให้ใครเป็นความ เบื้องต้นพูดคุยให้เกิดความเข้าใจก่อน แก้ไข หาทางออกที่ดีต่อไปได้ แต่ว่าในวันนี้ทั้งพี่เคนและน้องออกมาแถลงข่าว ตัวเราที่ดูแลน้องอยากปกป้องว่า ขอให้แก้ไขในส่วนตรงนี้เถอะ มองว่าการกระทำดังกล่าวถึงแม้ว่าจะมองว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ดี มันไม่น่าจะใช่เป็นเรื่องของมิจฉาชีพ ซึ่ง ณ ตอนนี้ยังไมได้คุยกันเรื่องฟ้องร้อง เรายังไมได้คิดถึงตรงนั้น ตอนนี้คุยกับน้องและพี่เคน เรายอมรับได้ในคำวาจารณ์ ต่อให้เป็นคำหยาบคาบหรืออะไรก็ตาม น้องเองอยู่ตรงนี้น้องก็ยอมรับ แต่ถ้าเลยเถิดไปมาก ถึงวันนั้นเราไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่ ณ วันนี้เรายังไม่ได้มีการตัดสินใจแบบนั้น เราไม่อยากให้มองว่าเอะอะควงทนาย เอะอะเอากฎหมายมาขู่ เราไม่ได้อยากให้ทุกมติของชีวิตเป็นเรื่องของกฎหมาย มันยาก ขอบเขตได้แค่ไหน ณ ตอนนี้ยัง แต่นับจากนี้เราคงต้องคุยกันต่อไปว่าสถานการณ์มันดีขึ้นหรือแย่ลง ถามว่าจะฟ้องใคร พูดตรงๆเลยนะตอนนี้ที่เห็นภาพทนายกับน้อง เก็บหลักฐานอะไรไหม ยังค่ะ เบาได้เบา ลบได้ลบนะคะ  

ทีม “เฌอเอม” รวบรวมหลังฐานไปยื่น สน.แล้วเหรอ

 ทนาย : ทะลักค่ะ อินบ๊อกซ์ทะลักมากค่ะ จริงๆ ส่งเข้ามาในอินบ๊อกซ์เยอะมากพอได้รู้ว่าเรามาดูแลน้อง จริงๆ ก็จะมีคนรู้สึกว่า ต่อให้ไม่ใช่ติ่งน้องยังบอกว่าพี่แรงมาก เลยเถิดไปถึงผู้หญิงขาย โอ้ คำพวกนี้มาจังเลย เบาได้เบานะคะ เราขอ

 เฌอเอม : ทางนี้ยังไม่ได้ (ยิ้ม)

ในแง่กฎหมายที่น้องโดนบังคับให้สละสิทธิ์จริงๆ จากทางกอง เราสามารถฟ้องกองประกวดได้ไหมน้องรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม โดนกระทำ ไม่ได้รับความยุติธรรมกับตัวน้องเอง

ทนาย : ฟ้องได้ไหม ณ ตอนนี้ ต้องเรียนตามตรงว่าทนายยังไม่ได้ดูข้อกฎหมายตรงนั้นนะคะ แต่ถามว่าจิตใจเราอยากจะฟ้องมั้ย ไม่มี จิตใจเรายังไม่มีเรื่องฟ้อง ณ เวลานี้นะคะ และในส่วนของเรื่องการสละสิทธิ์เนี่ย ได้คุยกับน้องว่า น้องรู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็คุยตรงๆ นะ พี่เคนอายุเท่าไหร่แล้ว จะ 50 แล้ว

จากที่ทุกคนได้เห็นศักยภาพ ทัศนคติของน้อง ถามว่าจะหยิบยกเรื่องทัศนคติมาทำไม จริงๆ ถ้าเขาดีเราก็ชมเขาไปเถอะ ถ้าสมมติว่าเรื่องนี้ เขาต้องการปิดบังจริงๆ จะคิดว่ามาตกม้าตายด้วยเรื่องแค่นี้เหรอ เปิดใจให้น้องนิดนึงนะคะแล้วช่วยดูว่าสิ่งเขาทำ เขาตั้งใจปิดบังแล้วมาโป๊ะแตกจริงๆ หรือว่าเจตนาเขาไม่ได้ต้องการปิดบังอะไรเลย ในเมื่อข้อมูลของพี่เคนก็อยู่ในอินสตาแกรม แม้แต่ในตอนกรอกใบสมัครไม่ได้บอกว่ามีพี่เลี้ยงหรือไม่มีอะไรยังไง และเมื่อ ณ เวลานั้นมันไม่ได้มีจริงๆ แต่อินสตแากรมได้ให้ไป ตัวปกติของนิด้าเองรับสมัครงานให้กรอกข้อมูลส่วนตัวเราก็เช็คประวัติลูกน้องก่อนรับทุกครั้งนะคะ เราก็จะเป็นเช่นนั้น นี่คือเหตุผลของการที่เราให้กรอกใบสมัคร ดังนั้น ในส่วนตรงนี้ สติปัญญาอย่างนี้ ถ้าจะตั้งใจปิดบังจริงๆ ไม่ต้องมานั่งโต๊ะแถลงข่าวแบบนี้แน่นอน

ถามพี่เคน 3 ครั้งที่เข้าประชุม เป็นการประชุมอะไร

 เคน : เป็นการประชุมการวางแผนงานการขาย อัพเดตว่าแต่ละคนมีลูกค้าอะไรในมือบ้าง สามารถขายอะไรไปได้บ้าง แค่นั้น หลังจากนั้นก็โควิด

 ไม่มีการประชุมการคัดเด็ก หรือคีย์เวิร์ด จะเอาหลักเกณฑ์หรือกลยุทธิ์ยังไงในการคัดเด็กใช่ไหม

 เคน : เป็นเออีครับ (ยิ้ม) เป็นเซลล์ครับ เป็นเซลล์ขายสปอนเซอร์ชิปครับ เราจะรู้แต่เรื่องที่อัพเดตว่าฉันขายอะไรได้บ้าง วันนี้เราขายอะไร เราขายอะไรพลาดไปบ้าง สิ่งที่รายงานมีแค่นั้น ที่ประชุมมีแค่นั้น สิ่งที่เราต้องการจริงๆ

แต่ทางฝั่งนั้นบอกว่าเราเข้าประชุมจนรู้กลยุทธิ์ต่างๆทุกอย่าง

 เฌอเอม : แล้วทำไมหนูยังใส่ชุดสีแดงไปในวันนั้นอีกคะ (คนมองว่าเราอยากเด่น?) เอมคิดว่าเราคงไม่เอาคะแนนมาเสี่ยงเพื่อดึงความเด่น โดยเฉพาะถ้าเรารู้ว่าทางกองเขาจะใส่สีอ่อน แต่ถามว่มันผิดไหม มันก็ไม่ได้ผิด

ระหว่างกองและแถลงวันนี้มันไม่ตรงกันเลย ทางกองบอกว่ารู้กลยุทธิ์ทุกอย่าง เข้าประชุมตลอด

 เคน : ไม่ทุกครั้งครับ ไม่ทุกครั้งเลยจริงๆ ไม่รู้กลยุทธิ์ใดๆ เลยทั้งสิ้น แม้กระทั้งการเตรียมแผนงานในวันที่จะแถลงข่าวของกอง เราก็ไม่ได้อยู่ประชุมด้วย อย่างวันแถลงข่าวเราก็ไม่ได้อยู่ในกอง เราได้รับการติดต่อหลังจากที่แถลงข่าวไปแล้วเกือบอาทิตย์ที่บอกว่าเราอยากได้โปรดักส์ดูแลผมนางงาม หาให้เราหน่อย เราก็โอเค ขอเวลา 10 นาทีเดี๋ยวเราจะหาให้ หลังจากนั้นเราถึงได้หาและเข้ากองอีกครั้งนึง

การเข้าประชุมทุกครั้ง จะมีหลักฐานการประชุมบันทึกการประชุมว่าประชุมเรื่องอะไรบ้าง

 เคน : ไม่มีครับผม (ทางกองมีไหม?) ทางส่วนนี้ไม่แน่ใจครับ

กลัวไหมว่าเขาจะเอาหลักฐานนี้มาแฉว่าเราเข้าจริงนะ

 เคน : ฮู ไม่กลัวครับ เพราะจำได้เข้าไม่ถึง 5 ครั้งแน่นอน

 ไม่มีหลักฐานในการเข้าประชุม แล้วมีหลักฐานในไลน์กลุ่มหรือเปล่า

 เคน : ในไลน์กรุ๊ปที่เราอยู่ อยู่แค่ในไลน์ลูกค้าสปอนเซอร์ที่เราขายแค่นั้น ที่เราแค่คุยงานกันว่า วันนี้จะมีอะไรอยากได้ช่างเท่าไหร่ มีอะไรให้ช่างเราบ้าง เราจะไปเซ็ตอัพงานได้เมื่อไหร่แค่นั้น ถ้าตัวเคนในไลน์หรุ๊ปใหญ่เลยของงานจริงๆ เราไม่ได้อยู่ในกรุ๊ปนั้นเลย

ตอนที่เข้าไปพบ “พี่ปุ้ย” ตลกลง “เคน” ไปคนเดียวหรือ “เฌอเอม” ไปด้วย

เคน : ไปกัน 2 คนครับ แล้วด้วยความที่พี่ทั้ง 2 คนนั่งฝั่งตรงข้าม เราก็เดินเข้าไปหา โดยวัฒนธรรมแล้ว เราจะไปยืนค้ำหัวผู้ใหญ่มั้ยครับ เราก็ต้องนั่งให้ต่ำกว่า และก็บอกว่าขออนุญาติแค่นั้น ถ้าคุกเข่า จริงๆ มันก็เป็นกิริยาที่น้อม นบนอบก็ดีนะครับ ก็ไม่มีอะไรที่น่าเสียหาย ถ้าเราจะคุยกับผู้ใหญ่แล้วเราคุกเข่าคุย เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าผู้ใหญ่นั่งอยู่แค่นี้ แล้วเรายืนค้ำหัวมันก็เป็นอากัปกิริยาที่ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว

แต่บริบทที่เขาพูดถึงว่าเราจะเข้าไปชี้แจงอธิบายว่าเราเป็นผู้จัดการน้องมา 2 ปีมากกว่า ที่ “เฌอเอม” บอกว่าไปเพราะหนูไม่ไหวแล้ว มันขัดแย้งกัน

เคน : ด้วยคาแรคเตอร์ ด้วยอุปนิสัย เวลาเจอผู้ใหญ่ เราใช้กิริยานี้ตลอด ถ้าใครรู้จักเราดี ก็จะรู้ว่านี่คือคาแรคเตอร์เรา บางทีเจอรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง เจอกันเซย์ไฮ ทักทายกัน ย่อถอนสายบัวจนจะถึงพื้น จนมันกลายเป็นคาแรคเตอร์ไปแล้ว

ยืนยันว่าไม่ได้ไปขอโทษ

เฌอเอม : ไม่ค่ะ หนูขอยืนยัน เข้าไปเพื่อไปขอแก้ปัญหาเรา เดินเข้าไปนั่งตรงข้ามกับพี่ปุ้ย แล้วก็ไหว้

ตอนนี้แฟนๆ มองว่า “เฌอเอม” กำลังกดดันทางกองประกวด เพื่ออยากจะขอกลับเข้ากองประกวดอีกครั้ง

เฌอเอม : เอมคิดว่ามันไม่ใช่การกดดันทางกองประกวด เมื่อมันมีสเตทมนต์อะไรก็ตามที่เกี่ยวเนื่องกับเรา หรือทำให้คนเข้าใจผิดเรา มันเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลของเราที่จะออกมาชี้แจง คนเราก็ต้องมีสิทธิ์ในการปกป้องตัวเองนะคะ และที่สำคัญการที่ใครจะมาตัดสินก่อนได้ เขาควรจะได้รับฟังความทั้งสองข้าง ซึ่งก็ยังมีคนที่รักและสนับสนุนเอมอยู่เสมอหาว่าเอมไม่ออกมาในวันนี้เอมคงทำให้พวกเราผิดหวังมาก  เพราะฉะนั้นมากกว่าการกลับไปแข่ง มันคือการเคลียร์ตัวเอง ทำตัวเองให้โปร่งใส และก็ให้เข้าใจตรงกันว่าความจริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น

แล้วประโยคที่บอกว่า หนูก็รู้ว่า “พี่อั้ม” รู้อยู่แล้ว ประโยคนี้มันคืออะไร

 เฌอเอม : หนูไม่เคยพบพี่อั้มหลังจากนั้นเลยค่ะ

แล้วใครเป็นคนพูดประโยคที่ว่า หนูก็คิดว่า “พี่อั้ม” รู้อยู่แล้ว ใครเป็นคนพูดประโยคนี้

เฌอเอม : ต้องถามคนโพสต์ไหมคะ (ยืนยันว่าไม่ได้พูดประโยคนี้?) ใช่ค่ะ หนูไม่ได้พูดค่ะ วันสุดท้ายที่เอมเจอเขาก็คือวันกลับจากหัวหินนะคะ

เคน : ผมไม่ได้พูดครับ

ที่บอกว่า พอผู้ใหญ่รู้เรื่องแล้วเราก็หัวเราะ

เฌอเอม : มันก็เหมือนกันค่ะ คือไม่ได้เจอก็คงไม่ได้หัวเราะด้วยเหมือนกัน

การให้สัมภาษณ์สื่อ หรือทัศนคติในการตอบคำถามของเรา มันอาจจะทำให้ผู้ใหญ่บางคนไม่ชอบเลยทำให้เราต้องมาอยู่ในสถานการณ์นี้หรือเปล่า ในมุมมองของเราคิดแบบนั้นหรือเปล่า

 เฌอเอม : ต้องยอมรับนะคะว่าการถูกใจใคร ชอบพอใคร หรือการสนับสนุนใคร มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล ใจคนอื่นจะคิด ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้แยกออกจากหน้าที่การงาน หลายคนก็แยกออกจากกันได้ เอมมองว่าการเป็นนางงาม หรืออาชีพต่างๆ มันมีบริบทหลายอย่าง มีเงื่อนไขหลายอย่างที่มันทับซ้อนกัน ซึ่งมันก็คงไม่ได้เหมือนกันไปซะทุกอย่าง อันนี้แยกได้ แต่อีกอันกลับแยกไม่ได้ ซึ่งเอมคิดว่าตามการตีความของทุกคนนะคะ บางคนก็อาจจะคิดว่าเอมไม่ได้เหมาะกับที่ตรงนี้ ซึ่งเอมไม่ได้อยากจะคิดว่า เอมไม่ได้รับการสนับสนุน หรือว่าเอมถูกกลั่นแกล้ง เพราะเอมเชื่อว่ากองมีความชอบธรรม และที่สำคัญคือเอมคิดว่าด้วยทัศนคติและอะไรหลายๆ อย่าง ในเมื่อมันทำให้เรามาอยู่จุดนี้ได้ มันก็คงไม่ใช่สิ่งที่เราต้องปิดบัง ที่สำคัญคือไม่ใช่สิ่งที่เราต้องละอายที่จะพูด เพราะทุกเรื่องที่เอมพูดออกมา เอมคิดแบบนั้นจริงๆ และที่สำคัญเอมคิดว่าการกล้าที่จะพูดในสังคมเป็นเรื่องที่ต้องมีคนเริ่ม ทุกครั้งที่จะทลายกำแพงคุณต้องทุบเสมอ แม้ว่าคุณจะต้องทุบด้วยกำปั้นเปล่าคุณก็ต้องทำ (เสียงสั่น) ไม่งั้นมันก็คงไม่ทลายลงมา เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งที่เอมพูด บีบคั้นให้เอมอยู่ในสถานการณ์ที่มันไม่น่าพึ่งพอใจ เอมก็ต้องขอบอกว่า เอมไม่เสียดายและไม่เคยเสียใจค่ะ

หลายคนสงสัยว่าการที่จะมีแถลงข่าววันนี้ก็มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เราโดนบีบ หรือมีเหตุผลอะไร นอกเหนือจากนั้นไหม จากแถลงร้านอาหาร มาเป็นเข้ารายการ แล้วรายการก็ไม่ได้เข้า

ทนาย : อันนี้ถ้าพูดไปมันจะกระทบหลายฝ่ายนะคะ เพราะว่า มันเซนซิทีฟ แต่ว่ามันมีเหตุผลบางประการ ที่จะต้องเลื่อนค่ะ แต่ไม่ใช่เหตุผลที่เป็นความประสงค์ของเรา

โดนบล็อคไหม

 ทนาย : ไม่ทราบค่ะ แต่ก็ไม่เข้าใจว่า เอ๊ะ ทำไมมันจะต้องถูกเลื่อน

การเปลี่ยนสถานที่ไม่ใช่เพราะ “เฌอเอม” จะเปลี่ยนเหรอ

 เฌอเอม : ไม่ค่ะ ไม่ได้เกิดจากเอมด้วยค่ะ

การไม่เข้ารายการก็ไม่เกี่ยวกับที่ “เฌอเอม” ไปบอกว่าไม่เข้าแล้ว

 เฌอเอม : เอมเป็นแค่นางงามคนนึงที่ไม่รู้ว่าจะได้แข่งต่อมั้ย เอมไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรแบบนั้นอะค่ะ

ต่อจากนี้คิดไว้ไหมว่า ถ้ากองประกวดเองปล่อยลอยแพเราเลยโดยไม่แจ้งว่ากิจกรรมต่อจากนี้มีอะไร แล้วเราจะทำยังไงต่อไป

 เฌอเอม : เบื้องต้นเอมก็ไม่ได้อยู่ในไลน์ของผู้เข้าประกวดแล้วนะคะ กรุ๊ปใหญ่หรือย่อยก็ตาม ซึ่งถ้าสมมติเขาให้โอกาสเอมได้กลับไปเอมก็พร้อมจะทำเต็มที่ แต่ถ้าเขาเลือกที่จะยุติการประกวดของเอม เอมก็น้อมรับ ก้อย่างที่บอกว่าเราไม่มีอะไรจะแย้ง สเตทเมนต์ที่มันเป็นทางการเพราะว่าเมื่อเป็นแถลงการณ์จากกองอย่างเป็นทางการณ์แล้ว มันแปลว่าได้รับการเห็นชอบจากคนหลายคน ที่สำคัญคือกระทำด้วยความคิดถี่ถ้วน พอถึงตอนนั้นเอมก็ไม่มีอะไรจะแย้งค่ะ (ในกรุ๊ปไลน์คือเอาลีฟเราออก?) ค่ะ

“พี่ปุ้ย” โพสต์ก่อนแถลง

 ทนาย : ขอตอบแทนก่อนละกัน จริงๆไม่ได้อยากมานั่งอยู่ตรงนี้ แต่สถานการณ์มันพาไป การนิ่งเงียบก็ยอมรับว่าสิ่งที่ออกมาเป็นเรื่องจริง ซึ่งมีความจริงอยู่บ้าง และไม่จริงอยู่บ้างในโลกโซเชียล เราถูกทำร้ายจากโซเชียลมากไป เราต้องออกมาพูดเพื่อปกป้องตัวเอง เราก็ระมัดระวังที่จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับใคร หากมันจะกระทบอยู่บ้าง แต่นี่คือการปกป้องชื่อเสียง ก็จำเป็นต้องทำ และทำให้ดีที่สุด แต่จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากแถลง เราก็ต้องยอมรับต่อไป

 จะเคลียร์กันยังไง

 เฌอเอม : ก็ต้องพูดคุยกัน แล้วถ้ามีเรื่องที่ให้อภัยกันได้ แม้เอมจะเป็นเด็ก แต่ก็เป็นฝ่ายตรงข้ามเช่นกันในกรณีนี้ และไม่ถือสาหาความ และขอโทษกองจากความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น เอมเชื่อว่าการที่เราชกหน้าคนนึง เขาชกเรากลับ มันคือการตีกันไปมา ไม่สิ้นสุด การที่จะหยุดความรุนแรงต้องมีฝ่ายหนึ่งให้อภัยก่อน เรื่องชื่อเสียงที่เสียไป หนูเริ่มต้นมาจากการไม่มีอะไรเลย ต่อให้หนูประกวดจนจบแล้วไมได้ตำแหน่ง วันรุ่งขึ้นหนูคือคนธรรมดา ไม่เกี่ยวกับว่าหนูมีชื่อเสียงหรือไม่มี

เอมไม่ได้ทำงานอะไรเลย ห่อนหน้านี้เอมอยู่ในกอง แต่ชีวิตส่วนตัวมีหลายคนที่คอมเมนต์ด่าทอ และคำพูดกระทบคนรอบข้างเอม ถ้าความผิดอยู่ที่เอม ถ้าคิดว่าไม่ถูกต้อง อยากให้ลงกับเอม ไม่ใช่ไปลงกับคนรอบตัวที่เอมรัก เขาไม่ควรมารับผิดชอบในเรื่องนี้ เอมไม่ได้คุยกับที่บ้าน ส่วนนึงเขาจะเครียดมาก เอมเป็นลูกหลง ทำงานตรงนี้ ดูแลตัวเองมาตลอด ดูแลตัวเองในเรื่องการงานตลอด ถ้าเป็นไปได้ ขอความเมตตาให้กับเอม และคนรอบข้างของเอม

อยากบอกคนที่เชียร์ ขอบคุณที่อยู่กับหนูมาตลอด (ร้องไห้) อยากให้จดจำเอมในฐานะคนธรรมที่ได้มีโอกาสสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน ไม่ใช่ว่าเราไม่พิจารณาถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ถ้าเรายังเดินหน้าต่อ ไม่ใช่ว่าเราปฏิเสธอดีต ปัจจุบัน แต่เป็นเพราะเราคิดว่าสิ่งที่เราจะทำมันดีขึ้นได้ โดยการสรรสร้างสิ่งใหม่ๆในอนาคต และทำสิ่งที่ดีต่อไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเสมอ ไม่ว่าวันนี้เราเป็นใครหรืออะไรก็ตาม เพราฉะนั้นต่อจากนี้ไป แม้จะสิ้นสุดในฐานะผู้เข้าประกวด แต่เอมจะขอให้เสียงของเอม ภูมิปัญญาของเอมให้เป็นประโยชน์ แม้น้ำหนักของโลกทั้งใบจะกดลงตรงบ่าของเอม แต่เอมก็จะทำต่อไป แม้ว่ามันจะทรมานและหายใจไม่ออก เอมอยากจะสู้แม้รู้ว่าไม่ได้อะไรเลย เพราะวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมันส่งผลกระทบกับตัวเรามากเหลือเกิน หนูอยากสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา ที่คงไม่เจ็บปวดอีกแล้ว

กับกองประกวด ขอบคุณที่ให้โอกาสแถลงข่าววันนี้ เพราะถ้าไม่มีคำตอบจากกอง เอมคงไม่กล้าทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เนื่องจากว่าเราไม่มีคู่สัญญา เมื่อได้รับการยืนยัน ถือว่ากองได้ให้ความเป็นธรรมกับเอมแล้ว ที่นี่ไมได้มีเฉพาะคนในกอง มีสื่อมากมาย มีคนดูเอมอยู่ หากเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ คือการตัดสินจากคนหมู่มาก มันเป็นการตัดสินของเวลาและการเปลี่ยนแปลงของสังคมในอนาคตค่ะ

 

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ