จบที่คนละครึ่ง! “ไมค์” เซ็นรับรองบุตร “ซาร่า” ได้สิทธิ์เลี้ยงดู


โดย PPTV Online

เผยแพร่




หลังเป็นเรื่องยืดเยื้อกันมานาน แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ สำหรับการตกลงในการเลี้ยงดูลูกชายวัย 6 ขวบร่วมกันของนักแสดงและนักร้องหนุ่ม “ไมค์ - พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” และนางแบบสาว “ซาร่า คาซิงกินี”

โมเมนต์สุดซึ้ง “ไมค์ พิรัชต์” ได้เจอลูกชายแล้ว

ยืดเยื้ออีก! “ไมค์ – ซาร่า” ตกลงไม่ได้ ศาลนัดไกล่เกลี่ยรอบ 3

ล่าสุดวันนี้ (4 มี.ค.64) เวลา 9.00 น. ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ไมค์ – ซาร่า เผชิญหน้ากันอีกครั้ง หลังศาลนัดไกล่เกลี่ยเป็นครั้งที่ 3 เพื่อบทสรุปในการเซ็นเอกสารรับรองบุตรและสิทธิ์ในการปกครองบุตร และหลังจากใช้เวลาในการไกล่เกลี่ยนประมาณ 8 ชั่วโมง จึงได้ข้อยุติ 

โดยทาง "ซาร่า" พร้อมทนายความส่วนตัวเผยว่า 

บทสรุปของวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ทนายกิ่ง : “ตอนนี้ตกลงกันได้เรียบร้อยดีค่ะ โอเค ถามว่าเป็นไปตามคาดไหม มันไม่เชิงว่าฝั่งนี้มีอะไรคาดหวังหรอกค่ะ ก็ตกลงกันไปตามประเด็นแต่ละประเด็นไปค่ะ ก็ถือว่าตอนนี้ก็แบ่งหน้าที่การรับผิดชอบชัดเจนมากกว่า ตอนนี้ทุกคนก็รู้หน้าที่และรู้สิทธิของกันและกันมากกว่า”

ข้อตกลงเป็นอย่างไรบ้าง

ทนายประมาณ : “ข้อตกลงเรื่องของผู้เยาว์มันเป็นเรื่องของการใช้อำนาจปกครองกับบิดาโดยชอบด้วยกฏหมาย อันนี้เรื่องลูกก่อนนะ ฝั่งซาร่าตกลงให้ไมค์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฏหมาย และเราขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร และเขาก็ยอมให้ซาร่าเป็นผู้ใช้อพนาจปกตรองบุตรแต่เพียงผู้เดียว การใช้อำนาจปกตรองบุตรก็คือ กำหนดถิ่นที่อยู่ กำหนดสถานที่ศึกษา และจิปาถะเกี่ยวกับชีวิตของลูก และสามารถที่จะเป็นตัวแทนของลูกได้โดยลำพัง เรื่องต่อไปคือเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู กับเรื่องค่าเทอม ค่าเทอมเทอมที่ผ่านมาทั้งหมดที่ครอบครัวของซาร่าเขาจ่ายไปทั้งหมดเจ็ดแสนกว่า อันนี้ต้องยกไปเพราะถือว่าครอบครัวซาร่าจ่ายไปแล้วก็ยกไป ค่าเทอมที่จะเกิดขึ้นต่อไปในวันข้างหน้าคนละครึ่ง จนถึงป.6 หลังจากที่น้องแม็กซ์โตแล้ว เริ่มมีวิธีคิดและขึ้น ม.1 แล้ว ก็ให้น้องแม็กซ์กับไมค์ปรึกษาหารือกันว่าจะเข้าเรียนม.1ที่ไหน จนจบปริญญาตรี

อันนี้ไมค์รับผิดชอบค่าเรียนให้ตกลงกับลูก โดยให้ลูกมีส่วนกำหนด ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร เมื่อเช้าที่เราพูดถึงกัน คือค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ไมค์ก็ตกลงว่าให้ซาร่าดูแลหมดทุกอย่าง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งหมดเป็นของซาร่า โดยไมค์ไม่จ่ายด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องจ่าย และให้ไมค์รับผิดชอบเรื่องการเจ็บป่วยของลูก ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันต่างๆ และทั้งคู่จะต้องไปดำเนินการจดทะเบียนรับรองบุตรให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับจากวันนี้”

ซาร่า : “คือจริงๆแล้วมันก็เป็นเรื่องของลูกค่ะ มันก็ไม่ได้สรุปว่าใครแพ้หรือใครชนะ มันอยู่ที่ว่าเราทั้งสองคนพร้อมที่จะรับผิดชอบลูก พร้อมที่จะดูแลลูกให้ความรักกับลูกเท่าไหนกันแค่นั้นมากกว่า”

วันนี้ท่าทีเหมือนจะจบตั้งแต่ช่วงเช้า ทำไมถึงมาต่อช่วงบ่าย

ทนายกิ่ง : “ช่วงบ่ายตกลงเป็นเหมือนภาพรวมใหญ่ แต่พอในรายละเอียดมันติดกันอยู่หลายจุดเหมือนกันค่ะ เหมือนตอนเช้าตกลงมาว่าเขารับผิดชอบค่าเรียนของลูกครึ่งนึงจนจบ ค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นของเรา ทางฝั่งเราก็ เห้ย! มันโอเคหรือเปล่าเรารับผิดชอบดูแลลูกทั้งหมด เราก็เลยไม่ค่อยโอเค เลยขอกลับมาคุยช่วงบ่ายเพื่อคุยรายละเอียดเพิ่มเติมมากกว่า”

ทนายประมาณ : “ผมคิดว่าบิดามารดาค่าเล่าเรียน ค่าการศึกษา ค่าอุปการะเลี้ยงดูลูกต้องคนละครึ่ง แล้วจะให้ผมมาสละสิทธิ์แทนแม็กซ์ผมก็ทำไม่ได้ว่าไม่เอา ไม่ติดใจพ่อแม่ ไม่ได้ พ่อแม่จะแบ่งหน้าที่กันก็ทำไป ไม่มีปัญหาแต่โดยหลักการเรื่องค่าเลี้ยงดูกับค่าเล่าเรียนมันต้องคนละครึ่ง ทีนี้พอมายกให้ฝั่งนี้ทั้งหมด เราเลยต้องใช้เวลาพิจารณาหน่อย”

สุดท้ายลงตัวแล้วเป็นยังไงบ้าง โอเคไหม พอใจไหม

ซาร่า : “มันก็เครียดอยู่ค่ะ เพราะว่ามันก็กลายเป็นว่าเรื่องตรงนี้เป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์แล้วกระทบถึงลูก เราก็ไม่ได้แฮปปี้ตั้งแต่เรื่องมันเกิดขึ้นแต่แรก ก็ดีที่ว่ามันจบลงด้วยดีค่ะ ทุกอย่างมันมีลายลักษณ์อักษรแล้วค่ะ มันเป็นไปตามนั้นค่ะ เรื่องมาเจอลูกเป็นเรื่องที่พ่อแม่คุยกันเอง เพราะว่าในตอนนี้คดีของในศาลพอวันนี้มันจบแล้วมันก็จบ ไม่ได้ต้องผ่านทนายเพราะทนายก็มีหน้าที่ทำในเรื่องของคดี หลังจากนี้การใช้ชีวิตมูฟออนต่อไปมันเป็นเรื่องของพ่อแม่ที่จะต้องคุยกันแล้ว”

บรรยากาศดีขึ้นไหม

ซาร่า : มันไม่เหมือนกันเดิมอีกแล้วค่ะ ไมค์กับซาร่าไม่มีทางที่จะเป็นเหมือนเดิม เพราะว่าเราก็มีปัญหากันมาตั้งนานแล้วเราก็หวังว่าทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้นแต่ ณ วันนี้มันก็ไม่ได้เหมือนเดิม”

หลังจากนี้ไปถ้า “ไมค์” จะพาลูกไปถ่ายโฆษณาหรืองานบันเทิงทางเราโอเคไหม

ซาร่า : “ทางเราไม่เคยติดเรื่องนี้ คือไม่อยากให้ทุกคนไปยึดติดถึงเรื่องเก่าเพราะเป็นเรื่องที่ทนายเขาจะต้องร่างขึ้นมาเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก มันไม่ได้เกี่ยวกับเราเพราะฉะนั้น ณ วันนี้ไม่ว่าจะเป็น 6 ข้อเรียกร้อง 4 ข้อเรียกร้อง หรือ 2,500 คือทุกอย่างมันเป็นการเจราจา ไกล่เกลี่ย มันปรับเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา มันไม่ใช่ข้อสรุป มันไม่ได้พูดว่าฉันจะเอาแบบนั้น ฉันจะเอาแบบนี้ แล้วมันจะได้ คือมันจะต้องมาคุยกันให้ลงตัวว่าโอเคไหมกับเรื่องของลูก เรามองว่าเรื่องของลูกวันนี้พ่อจะแบบนี้ แม่จะแบบนี้ สุดท้ายผลประโยชน์มันไปอยู่ที่ลูก อยู่ที่ว่าทั้งสองฝ่ายพอใจหรือเปล่า ที่ลูกจะมีชีวิตแบบนี้ กินอยู่แบบนี้ เรียนแบบนี้”

ในสิทธิ์ปกครองของ “ซาร่า” เขามีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นในการเลี้ยงลูกไหม

ซาร่า : “ที่ผ่านมาเขาก็มีอยู่แล้ว เพราะว่าลูกเราเป็นผู้ชาย เราต้องยอมรับว่าเราเป็นผู้หญิงเราแฮปปี้อยู่แล้วที่จะถามไถ่เขาในมุมของความเป็นผู้ชาย บางเรื่องเราไม่รู้เราก็ถามเขามาตลอด ซึ่งตรงนี้มันก็คงเป็นอย่างงี้ไปตลอด”

ในอนาคตซาร่ามองว่ามันจะวนกลับมาที่เดิมไหม

ซาร่า : “ตอนนี้การกีดกันมันไม่เคยเกิดขึ้น ซาร่าพูดหลายครั้งแล้ว แล้วทางฝั่งนู้นมันมีการกีดกัน ซึ่งไหนคือหลักฐาน ซาร่าขอหลักฐานการกีดกัน มันเป็นไปไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นโซเชี่ยลยูทูบของคุณลุง ญาติทางฝั่งคุณพ่อ ไอจี คือคุณก็มีรูป มีการเจอวันเกิด คือมันเจอกันตลอด เพราะฉะนั้นอะไรคือการกีดกัน ทุกวันนี้ซาร่าก็ยังถามเขาอยู่ว่าอะไรคือกีดกัน ถ้าจะบอกเป็นว่าโควิดไม่ได้เจอลูก หรือตอนที่ซาร่าท้องอยู่คือโควิดประเทศปิด จังหวัดมันปิด เราเจอลูกไม่ได้แล้วคือกีดกันมันเป็นสถานการณ์ของบ้านเมืองคือไม่ใช่ความผิดเรา เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่เขาน่าจะเห็นอกเห็นใจเข้าใจกันเรา ณ โมเมนต์ที่เราท้องอยู่ด้วยซึ่งเขาก็รู้เราไม่ได้สะดวกขนาดนั้น มันเป็นเรื่องระยะเวลาที่มันสั้นมาก ไม่กี่เดือนจะบอกว่ากีดกันมันไม่ใช่ มันไม่ใช่ว่าเขาขอเจอลูกแล้วบอกว่าไม่ได้นะ คุณห้ามเจอมันไม่ใช่แบบนั้น เราแค่บอกว่าไม่ว่าง เรามีปัญหาส่วนตัวคือเราท้องอยู่ หรือเพราะโควิดสนามบินปิด

เพราะฉะนั้นการกีดกันมันไม่เคยเกิดขึ้น เราก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะว่าแม็กซ์เขารู้อยู่แล้วว่าใครคือพ่อของเขา เขาโตมากับการที่เขารู้ว่านี่คือพ่อของเขา แล้ววันนึงเราเป็นแม่เราจะไปทำร้ายความรู้สึกลูก โดยการที่ลูกไม่ต้องไปเจอพ่อทำไม พ่อเขาทำอะไรผิดเขาไม่ได้ทำไรผิด การที่พ่อและแม่ทะเลาะกัน มันไม่ได้เป็นเรื่องที่เราจะต้องไปใส่ลูก พ่อกับแม่ทะเลาะกันก็เรื่องของพ่อแม่ แต่ลูกเราไม่ได้ไปทะเลาะกับพ่อ เราจะไปห้ามไม่ให้เขาเจอกันเพื่ออะไร มันดีอยู่แล้วที่พ่อลูกรักกัน มันเป็นสิ่งที่เป็นลูกของเราทั้งคู่ค่ะ มันไม่ใช่ลูกของใครที่จะต้องมาตั้งแง่ว่ากีดกันห้ามเจอ มันดีด้วยซ้ำที่เขาเจอกันบ่อยๆ”

การเจอลูก เอาจริงๆที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเรื่อง ลูกปิดเทอมเราก็บอกเขาตลอด พอเขาไม่ว่างก็คือไม่ว่างก็แค่นั้น ทุกอย่างก็อยู่ที่ว่าทั้งสองคนว่างตรงกันไหมแค่นั้นเอง แต่ก็โอเคมันมีลายลักษณ์อักษรที่มันระบุมาชัดเจนเพื่อที่จะกันปัญหานี้เกิดขึ้นว่าอย่างน้อยเดือนนึงสัก 2 ครั้ง เราโอเค เขาจะได้สบายใจด้วย”

อธิบายลูกยังไง

ซาร่า : “จริงๆก็ต้องพูดไปตามความจริง อีกอย่างหนึ่งซาร่ามองว่าสื่อต่างๆ ข่าวบางทีแค่พาดหัวข่าว หรือบางทีก็อยากให้พี่ๆเบาๆเรื่องพาดหัวข่าวนะ เพราะบางทีเนื้อเรื่องมันไม่ขนาดนั้น บางทีอ่านแค่พาดหัวข่าวก็ตัดสินไปแล้ว เราก็มองว่าแม็กซ์เขาโตมากับเรา เขาอยู่ในสถานการณ์จริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ลูกก็คงโตมากับการที่แม่ทำไมข่าวมันเป็นแบบนี้ ทั้งๆที่ ณ ปัจจุบันที่เราอยู่กันแบบนี้ มันไม่ใช่แบบที่ข่าวเขียน เพราะฉะนั้นซาร่าลูกคงไม่ตัดสินเรื่องตรงนี้ตามที่ข่าวเป็น เหมือนกับเราอยู่บ้าน มีคนมาเขียนข่าวว่าเราเป็นแบบนี้ ครอบครัวเราเป็นแบบนี้ แต่ในบ้านไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเชื่อในสิ่งที่เราเจอและเห็น ซาร่าก็เลยเชื่อว่าลูกจะต้องมีเกาะป้องกันบางอย่างที่เขารู้อยู่แล้วว่านี่แม่เขา นี่พ่อเขา ครอบครัวเราเป็นแบบนี้ ข่าวก็คือมายาค่ะ”

เชื่อว่าลูกมีภูมิคุ้มกัน ในอนาคตถ้าลูกถามมีคำตอบไหม

ซาร่า : “ในมุมมองในฐานะความรักเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในมุมความเป็นแม่ (เสียงสั่น) ซาร่าเชื่อว่าล้านเปอร์เซ็นต์ ซาร่าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ข่าวเขียน ซาร่าไม่ได้เป็นแม่ที่เอาลูกเป็นตัวประกัน รีดไถ ตั้งแง่ กีดกัน ล้านเปอร์เซ็นต์ซ่าร่าไม่ใช่แม่แบบนั้น ซาร่าเชื่อว่าแม็ซ์ก็รู้ว่าซาร่ารักเขามาก ซ่าราก็อยากให้เขารักพ่อเขามากเหมือนอย่างที่เขารักซาร่า เพราะฉะนั้นซาร่าเชื่อมั่นตรงนี้ว่าแม็กซ์จะต้องรู้ว่าที่ซ่าร่าทำในวันนี้ทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆ”

ความรู้สึกเหมือนอัดอั้นมานาน

ซาร่า : “มันก็เหนื่อยแหละ เหตุการณ์ตอนที่เราท้องด้วย ภาวะคนท้อง คลอดลูกได้แป๊บเดียวก็มีข่าวต่างๆนานา มันก็หลายอย่างลูกเล็กก็ต้องเลี้ยง ลูกคนโตก็มีปัญหากับพ่อของเขา มันเหมือนเราก็หนัก แล้วหลังจากนี้ภาระที่เราจะต้องแบกค่าใช้จ่าย มันก็ค่อนข้างหนักหนาสำหรับเรา ด้วยข่าวที่มันออกไปก็มีผลกระทบกับงาน กับหน้าที่การงาน ซาร่าก็มองว่าหลังจากนี้ สิ่งที่ซาร่าจะต้องรับผิดชอบมันค่อยข้างเยอะ แต่ก็มองว่าเออเราจะต้องขยัน อดทน เหมือนเราต้องมีเวลามากกว่านี้ ทั้งที่เราต้องอุปการะดูแลลูกของเรา ทั้งที่ต้องเลี้ยงดูเขาต่างๆนานา มันค่อนข้างที่รู้สึกว่าหนักเหมือนกันค่ะ ก็อยากจะขอโอกาสขอให้ทุกคนเปิดใจ เข้าใจซาร่ามากกว่านี้ แล้วก็ ณ โมเมนต์นี้เราต้องรับผิดชอบลูกมันก็เยอะ แล้วจะบอกว่าคนละครึ่ง มันก็จะไม่ใช่คนละครึ่งขนาดนั้น อุปการะก็เราทั้งหมดเลย แล้วค่าเทอมอย่างที่บอกคนละครึ่ง ซึ่งมันยังหนักสำหรับเราที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกด้วย เราไม่ได้มีเวลาทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับทางฝั่งคุณพ่อ เพราะฉะนั้นศักยภาพในการหาเงินก็ต้องน้อยกว่าอยู่แล้ว ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันก็หนักอย่างนี้ค่ะ (ร้องไห้)”

ก่อนหน้านี้ที่เราพูดเรื่องคุณภาพชีวิตลูก ภาระค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง อาจจะต้องยอมลดจากเป้าที่ตั้งไว้ไหม

ซาร่า : “คือจริงๆมันไม่เกี่ยวกับตัวจำนวนเงินว่าแพงแล้วดี ซาร่าก็มองว่าเลือกแต่ละอย่างเพราะรู้ว่าลูกสนใจอะไร เขาอยากอะไรแบบไหน ไม่ใข่เขาอยากเรียนดนตรี เราไปเอาวิชาการมาอัด เราก็ดูความเหมาะสมเขาด้วย เราก็ต้องยอมรับว่าโรงเรียนสมัยนี้ก็ค่อนข้างราคาสูงเท่านั้นเอง เราไม่ได้ตั้งเป้าว่า ลูกเรียน 700,000 ต้องไปหาโรงเรียนที่ต้อง 700,000 ตลอด มันลดหย่อนกันได้ เพราะเมื่อกี้เราคุยกับคุณพ่อเขาว่าพอเรียนถึงป.6 แล้วอยากจะไปเรียนอะไรก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนในอนาคต เราก็แจ้งบอกพ่อเขา ไม่ใช่ว่าสูงแล้วมันต้องดี อยู่ที่ว่าอันไหนที่มันเหมาะสมกับลูกเรา สิ่งที่ลูกเรารักที่ลูกเราอยากจะเป็นมากกว่า”

แต่นับจากวันนี้เหตุการณ์แบบนี้ มันจะไม่มูฟกลับมาอีก มองว่าวันนี้จบแล้ว

ซาร่า :  “ซาร่ามองว่า ซาร่ามีความอดทนค่อนข้างสูง คือถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรก ซาร่าเลือกที่จะเป็นคนฟ้องร้องเขาก่อนก็ได้ แต่ซาร่าไม่เคยทำ ซาร่่ไม่เอาศาลมาเป็นเรื่องให้มันเป็นเรื่องใหญ่โต เป็นว่าเรื่องครอบครัวมาถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม อะไรที่ซาร่าอดทนได้ซาร่าก็อดก็ยอม เพราะฉะนั้นการที่ซาร่าจะไปหาเรื่องหรือไปทะเลาะกับใครก่อนมันไม่ใช่วิสัยของซาร่าอยู่แล้ว เพราะฉะนั่นถ้าซาร่าไม่ได้ถูกกระทำ หรือไม่ได้เกิดอะไรขึ้น มันก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น ซาร่ามองว่าที่ผ่านมา 6 ปี ซาร่ากับลูกเนี่ย ไปทำให้เขาจมดิน แบบไม่มีที่ยืนในสังคม หลังจากวันนี้ซาร่าขอให้มันเลิกแล้วต่อกัน ขอว่าซาร่าได้ชดใช้เวรกรรมทั้งหมดแล้วกัน หลังจากนี้ก็ขอให้เลิกแล้วแต่กันค่ะ (หลังจากนนี้ก็จะอยู่ภูเก็ตยาว?) ณ ตอนนี้นะคะ จากที่คุยเมื่อกี้เขาก็โอเคที่จะให้ลูกอยู่ที่นั่นค่ะ”

ต่อมาทางด้าน “ไมค์” ออกมาเปิดใจว่า

เคลียร์เรียบร้อยแล้วโล่งใจไหม?

ไมค์ : ก็โล่งครับ

ข้อตกลงเป็นไปตามที่พึงพอใจตั้งแต่แรกไหม

ไมค์ : “จริงๆวันนี้ที่ผมเตรียมมาเสนอ ผมจะจ่ายค่าศึกษาของลูกร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นโรงเรียนที่ผมเลือก มีค่าประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และจะเก็บเงินออมให้ลูกด้วยในอนาคตเผื่อเข้ามหาวิทยาลัยจะได้มีเงินตั้งต้นด้วย ทีนี้พอเสนอไปทางนั้นไม่โอเค เขาไม่อยากย้ายโรงเรียนลูก ผมเลยเสนอเป็นโรงเรียนเดิมแต่จ่ายคนละครึ่ง ซึ่งผมต้องการจ่ายตรงกับทางโรงเรียน แต่ทางนั้นต้องการให้จ่ายผ่านพ่อของทางคุณซาร่า ซึ่งผมไม่มีความสบายใจในจุดนี้ เขาก็มีข้ออ้างมาว่าที่ต้องจ่ายตรง เพราะทางบ้านคุณซาร่ามีที่ต้องเรียนอีกสองคนที่โรงเรียนเดียวกันจะได้ส่วนลด ผมเลยโทรไปถามทางโรงเรียน ปรากฎว่าทางโรงเรียนแจ้งว่าไม่ว่าจ่ายผ่านทางไหน ก็ไม่ได้มีผลต่อค่าส่วนลดตรงนั้น สุดท้ายก็ยื้อกันไปมา ตอนแรกคิดว่าจะเสร็จช่วงเที่ยง ก็กำลังร่างสัญญาแล้วกับทนายต้อม พอทางเขาไม่โอเคก็เลยลากยาว สุดท้ายก็ไปลงเอยตรงที่ว่า ผมจ่ายละคนครึ่งกับเขาถึงป.6 หลังจากนั้นม.1 จนถึงมหาวิทยาลัยเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องไปคุยกับลูก ดูว่าเขาอยากเรียนที่ไหน ผมจะจ่ายเต็มตรงนั้น

ส่วนตอนนี้ผมก็จ่ายตรงกับทางโรงเรียนได้ และเรื่องประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เก็บเงินออมเอาไว้ด้วยให้ลูกในอนาคต ไม่ได้กำหนดว่าเก็บเงินเดือนละเท่าไหร่ ที่ผ่านมาผมเก็บเดือนละ 3 หมื่น ในอนาคตก็ต้องแล้วแต่ตามกำลัง บางทีเกิดสถานการณ์โควิดขึ้นมาอีก ผมก็ต้องมาพิจารณาว่าเดือนนี้ผมมีเท่านี้ ก็เก็บเท่านี้”

สิทธิ์การปกครองลูกยกให้เขาเลย

ไมค์ : “เอาจริงๆตั้งแต่ผมไม่ได้ขอร้องสิทธิ์การปกครอง ผมแค่ต้องการที่จะเจอลูก เยี่ยมเยียนได้อย่างง่ายดายแค่นั้นเลย เรื่องเซ็นรับรองบุตร จะไปวันไหนเหรอ ยังไม่ทราบครับ เดี๋ยวค่อยนัดกันอีกทีก็ได้”

สิทธิ์ในการเจอลูก 2 ครั้งต่อเดือน

 ไมค์ : “ตอนแรกขอไป 3 ครั้ง แต่เขาก็ไม่อยากระบุ แต่ผมก็ยังยืนกรานว่าต้องการระบุว่าขั้นต่ำต้อง 2 ครั้งต่อเดือน ในเอกสารใช้ว่าประมาณ 2 ครั้ง ผมยืนยันว่าต้อง 2 ครั้งต่อเดือน ซึ่งไม่ได้กำหนดเวลา (เขาสะดวกเจอที่ภูเก็ต?) ล่าสุดผมก็บินไปภูเก็ต ผมก็ไม่ติด อาจจะลำบากผมหน่อย แต่ไม่เป็นไร ถ้าได้เจอลูก ที่ล่าสุดบินไปภูเก็ตก็ได้เจอแม็กซ์เวลล์แล้ว เอามานอนค้างด้วย ส่วนเรื่องเวลาไปเจอต้องแจ้งไหม ตอนแรกในสัญญาระบุว่าต้องแจ้ง 7 วันล่วงหน้า ซึ่งผมรู้สึกว่างานที่ผมทำอยู่มันก็แพลนยาก ผมเลยขอเป็น 3 วันล่วงหน้าได้ไหม เพราะลูกแค่เรียน ไม่ได้ทำอะไร สุดท้ายมาจบที่แจ้ง 5 วันล่วงหน้า ถ้าสมมติผมไม่แจ้งก่อน 5 วัน เขาก็มีสิทธิ์ปฎิเสธได้ ผมก็ต้องแพลนดีๆ”

เรื่องราวมันยืดยาวมาเป็นปี เราเป็นยังไงบ้าง

“(ถอนหายใจ) จริงๆ มันเป็นเรื่องง่ายมากครับ ผมขอชี้แจงก่อนแล้วกัน ครั้งที่แล้วเขาให้สัมภาษณ์ตอนที่เขาไปเดินสายสวัสดีสื่อว่าไม่ได้ติดที่ทางเขา แต่ติดที่ทางผม ผมขอชี้แจงตรงนี้เลยว่าไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทั้งหมดมันติดที่ค่าใช้จ่ายเหมือนกับครั้งนี้ ไม่ได้แตกต่างกันเลย อีกอย่างคือตอนนั้นเขาบอกว่าคุณพ่อเขาเป็นคนจ่ายค่าเทอม ซัพพอร์ตทุกอย่าง ซึ่งผมก็ไม่เห็นด้วยว่าเราจะผลักภาระหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบไปให้คนอื่นรับผิดชอบได้ยังไง เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องตัดสินใจทางเดินของลูกด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาตัดสินใจ และต้องไม่ให้คนอื่นมารับผิดชอบแทนด้วย

อีกอย่างนึง ประเด็นหลักเลยที่เขาติดก็คือที่เขาบอกว่าจะยกแม็กซ์ให้กับผม แต่ผมบอกว่าขอไปคิดดูก่อน ผมขอชี้แจงในข้อนี้ คือวันนั้นพอเขาบอกว่าจะยกแม็กซ์ให้ ผมหันกลับไปตอบทันทีว่าผมตกลง ผมโอเค แต่ต้องพาแม็กซ์ไปจีน แต่ทีนี้คือที่ผมต้องขอไปคิดดูก่อน ผมในฐานะพ่อก็ต้องคิดว่าสุดท้ายแล้วมันดีกับแม็กซ์จริงๆหรือเปล่า ต้องคิดให้ละเอียดและรอบคอบ

ข้อที่หนึ่ง การงานของผมมันเป็นระบบแคมปิ้ง ผมไปกองละครทีผมจะหายไปเลย 3-4 เดือน แล้วกองละครก็ย้ายไปเรื่อยๆ แต่โรงเรียนมันไม่ได้ย้ายตามกองละคร ทีนี้ถ้าเราอยู่กองละครแล้วใครจะอยู่กับแม็กซ์ ผมก็ต้องคิดตรงนี้ พี่เลี้ยงเหรอ ก็ไม่โอเคอีก แล้วที่นั่นถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นใครจะเป็นคนไปดู ใครจะไปดำเนินเรื่อง เพราะผมอยู่ในกองละคร

ข้อที่สอง แม็กซ์พูดภาษาจีนไม่ได้ แล้วเขาจะสื่อสารกับใครรู้เรื่อง เวลาเขาต้องการอะไร อยากจะกินอะไร ความกดดันที่ลูกต้องเจอ ได้คิดหรือเปล่า สิ่งที่บอกว่ามีสติแล้ว คุยกับครอบครัวแล้ว มีสติมากขึ้น ผมว่ามันยังไม่พอนะครับ ต้องคิดให้ได้มากกว่านี้ แล้ววันนึงถ้าลูกมาฟังที่คุณสัมภาษณ์ลูกจะคิดยังไง ว่าแม่ยกให้พ่อแล้วพ่อก็บอกว่าขอคิดดูก่อนอีก ผมบอกตรงนี้เลยว่าไม่ได้คิดดูก่อนตรงเรื่องที่จะรับหรือไม่รับ แต่คิดดูก่อนในเรื่องของความเป็นไปได้ในเชิงปฎิบัติว่าเป็นไปได้หรือไม่ แค่นั้นเอง

ทีนี้เจตนาคืออะไรในการสัมภาษณ์นั้น แน่นอนว่ามันชัดเจนอยู่แล้วให้ผมโดนด่า ซึ่งผมโดนด่ามา 6 ปีแล้วครับ มันไม่ได้สำคัญอะไรกับผมเลย ผมบอกตรงๆ จะโดนด่าต่อไปมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผม แต่คนเป็นพ่อแม่ควรจะต้องเป็นโล่ให้กับลูก ไม่ใช่ให้ลูกมาเป็นโล่ให้กับตัวเองแล้วก็ไปหลบหลังลูก แล้วผมบอกเลยนะครับ อาจารย์ประมาณครับ ไม่ต้องมาสงสัยความเป็นพ่อของผม หมาแมวมันยังไม่ทิ้งลูกเลย ผมก็ไม่ทิ้งหรอกครับ และที่ผ่านมาผมก็ดูแลลูกมาโดยตลอด ไม่ต้องมาถามเรื่องความเป็นพ่อจากผมนะ ผมอาจจะไม่ได้ดีเท่าอาจารย์ แต่ว่าผมก็พยายามที่สุดในสิ่งที่คนๆนึงทำได้ มันก็แค่นั้นเองครับ”

เราเหมือนจะรู้สึกจะอัดอั้นมากพอสมควรกับการไกล่เกลี่ยในศาล

“คือมันไม่จบสักทีไงครับ แล้ววันนี้มันจบ คือที่ผ่านมาผมไม่พูด แล้วทางนั้นก็ให้ข่าวๆแล้วคอยบิดเบือนข้อมูลอยู่เรื่อยๆ และสุดท้ายทัวร์ก็มาลงผม แล้วคุณจะไปให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผมทำไม ผมบอกเลยนะสื่อโซเชียลมีเดียของคุณที่ชอบตอนคำถามต่างๆนานา คำถามมันเลือกตอบได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะต้องลงทุนถึงขั้นเบลอชื่อผมหรืออะไรก็แล้วแต่ และไปตอบคำถามที่ยังมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับผมเนี่ย เลือกไม่ตอบดีกว่าครับ และเวลาคนอื่นถามเกี่ยวกับผมก็ช่วยตอบไปว่าไม่ขอตอบคำถามเรื่องไมค์ค่ะ เหมือนที่คุณเลือกที่จะไม่ตอบคำถามเรื่องวาดิม ผมขอแค่นี้ ไม่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับผมอีกนับจากนี้เป็นต้นไป ผมไม่ต้องการมีอะไรเกี่ยวข้องหรือข้องแวะ ผมต้องการแค่นี้เลยครับ และหลังจากนี้ทำหน้าที่พ่อแม่ ดูแลลูก แบ่งหน้าที่กันให้ชัดเจนเรียบร้อย มันแค่นั้นเลย”

เชื่อว่าเรื่องราวจะลงด้วยดีได้ไหม

“ผมไม่ทราบหรอกครับ อันนี้เป็นเรื่องของในอนาคต แต่แน่นอนคือผมจะไม่คุยกับเขา มันไม่ใช่ทิฐิ ไม่ใช่อีโก้ มันคือประสบการณ์ที่สอนให้ผมต้องระวังตัวกับคนบางคนครับ”

ที่เขาบอกว่าถ้าเราจะเจอลูกต้องแจ้งเขาโดยตรง ไม่ให้ผ่านทนาย

“ที่คุยกันไว้ข้างบนผมก็บอกชัดเจนว่าผ่านคนกลาง ครั้งที่แล้วที่ผมได้เจอลูกที่ภูเก็ตก็ผ่านคนกลาง ผมก็ให้ผู้จัดการผมไปคุยกับคนกลางเขา แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่มันยากเย็นสาหัสอะไรเลยกับการที่แค่ให้คนอื่นนัดเวลากันว่าผมอยากไปเจอลูก จบ ถ้ามันไม่ใช่อะไรที่เหนือบ่ากว่าแรงก็ทำเถอะครับ”

“ไมค์” ยังมีความกังวลว่าเรื่องเก่าๆจะวนกลับมา

“แน่นอนอยู่แล้วครับที่จะต้องมีความกังวล เพราะมันเป็นอะไรที่มันวนอยู่อย่างนี้มานาน แล้วก็เป็นการที่แบบว่า วันนี้ผมงงมากเลยกับคำว่ารู้ดำรู้แดงคืออะไร เพราะมันไม่ใช่การต่อสู้ที่แบบดุเดือดหรืออะไร มันเป็นคดีเด็ก มันไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับคำว่ารู้ดำรู้แดง แล้วถ้าวนกลับมาเหมือนเดิมผมไม่โอเค นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมต้องมายืนอยู่ในศาลวันนี้ เพื่อทำให้ชัดเจน แบ่งหน้าที่กันไป จบ”

วันนี้อาจจะชัดเจนในเรื่องของตัวเงิน ความรับผิดชอบ แต่ในเรื่องของการกระทำ “ไมค์” กังวลไหมว่า ในอนาคตการเจอลูกจะยาก

“ถามว่ากังวลไหม ผมก็ยังกังวลอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ ขนาดเมื่อกี้ผมอยากจะใส่คำบางคำเข้าไปในตัวข้อตกลง ก็ยังติดปัญหาเลย ซึ่งผมก็สงสัยว่าติดทำไม เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต ก็หวังแค่ว่าทุกอย่างมันจะง่ายขึ้น และดีขึ้นแค่นั้นเอง หลังจากนี้จะโฟกัสแค่ลูกอย่างเดียว ถามว่าห่วงอะไรลูก ก็ในทุกอย่าง เอาจริงๆหลายๆเรื่อง ก็กังวลหลายๆอย่าง เรื่องลูก อนาคตของลูกทุกอย่างๆ”

อย่างสิทธิ์ปกครองลูกอยู่ที่ “ซาร่า” ถ้า “ไมค์” อยากจะบอกหรือทำอะไรกับลูกมีสิทธิ์ไหม

“ถามว่ามีสิทธิ์ไหม ทางด้านกฎหมายผมก็ไม่ทราบ แต่คือถ้าผมได้เจอแม็กซ์และมีโอกาสพูดคุยกับเขา อย่างล่าสุดผมสอนเขาว่า ถ้ามีอะไร หรือมีใครพูดอะไรใส่หูให้มาถามแดดดี้ ล่าสุดเขาเจอผม เขาก็พูดเองว่า ถ้ามีคนมาบอกว่าแดดดี้ไม่รักแม็กซ์ แม็กซ์จะมาถามแดดดี้เอง เขาพูดแบบนี้ แค่นี้ผมสบายใจแล้ว เพราะถ้าวันหนึ่งมีคนมาบอก หรือมาพูดอะไรก็แล้วแต่ ลูกจะฟังผม เขาจะเชื่อผม แค่นี้ผมก็สบายใจแล้ว”

เตรียมการยังไงกับการจะบอกลูกถึงเรื่องนี้ที่เกิดขึ้น หากในอนาคตเขาเกิดรับรู้ข่าวนี้

“ผมถึงบอกว่าเวลาจะพูดอะไรออกสื่อ ต้องคิดก่อน (นิ่ง) แน่นอนวันหนึ่งแม็กซ์จะต้องเห็น แต่สิ่งที่ตอนนี้ทำได้คือสร้างภูมิต้านทานให้กับเขา แค่นั้นเลยครับ ผมะทำให้เขาเชื่อว่าแดดดี้รักเขาจริง ๆ”

กับข้อตกลงก่อนหน้านี้ที่ทางทนายของอีกฝั่งออกมาเปิดเผยว่าจะจ่ายแค่เดือนละ 5,000 บาท แล้วมีการขอจ่ายคนละ 2,500 บาท

“คือ...หนึ่งมันเป็นข้อมูลในชั้นศาล ที่จริงๆแล้ว ผมเองไม่ทราบว่าอาจารย์ประมาณเป็นทนายมากี่ปี ซึ่งข้อมูลนี้เป็นความลับ และมันไม่สมควรเลยที่จะออกมาเผยแพร่สู่สาธารณะ เรื่องเงิน 2,500 บาทนี้ ตั้งแต่แรกมามันเป็นการคาดเดา เสนอว่าค่าเลี้ยงดู 5,000 บาทไหม แล้วหารคนละ 2,500 บาท สุดท้ายมันไม่ได้เป็นข้อสรุปนะครับ 2,500 บาทเนี่ย มันไปจบที่ 10,000 บาท คือผม 10,000 บาท และคุณซาร่าซึ่งเป็นมารดา 10,000 บาท นั่นหมายความว่าลูกผมจะมีเงินค่าอุปการะต่อเดือนคือ 20,000 บาท ก็ลงเอยที่ 10,000 บาทในการตกลงวันนั้น ซึ่งอาจารย์ประมาณก็ไม่ได้มา อาจจะมีการสื่อสารข้อมูลคลาดเคลื่อนก็ได้”

กับเรื่องค่าเทอมที่บอกจะจ่ายแค่ 30,000 บาท

“อย่างที่บอกว่าอันนั้นไม่ได้เป็นข้อตกลง มันเป็นการพูดเสนอในศาลว่าเท่าไหร่ยังไง แล้วก็มีการต่อรองกัน มันไม่ใช่ข้อสรุป มิฉะนั้นวันนี้ผมจะมายืนที่นี่อีกครั้งเหรอครับ”

มีเรื่องที่ว่า “ไมค์” ใช้จ่ายเดือนละ 15,000 บาท

“ใช่ครับ ผมใช้จ่ายเดือนละ 15,000 บาทในตอนนี้ เวลากินข้าวผมก็ซื้อข้าวกล่องที่มีสำเร็จรูปแล้วก็มี ส่งเป็นเซ็ทเลยกล่องละ 50 บาท 3 มื้อ บางวันผมกินแค่ 2 มื้อ เพราะทำงานก็ลืมกินข้าว ตอนนี้เราใช้ชีวิตอย่างนั้นจริงๆ”

 

 

 

 

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ