“คริส พีรวัส” ไม่หยุดเรียนรู้ วันนี้กล้าออกจากกรอบเซฟโซน เพื่อเป้าหมายที่ไกลกว่าเดิม


โดย PPTV Online

เผยแพร่




คุยกับ “คริส - พีรวัส แสงโพธิรัตน์” ในวันที่เติบโตขึ้น กล้าลอง กล้าเรียนรู้ ในสิ่งที่ไม่เคยทำ เรื่องงานลุยเต็มที่ ส่วนเรื่องหัวใจยังขอใช้เวลาตามหาคนที่ใช่

แจ้งเกิดและโด่งดังมาจาก SOTUS : The Series ซีรีส์ที่สร้างปรากฎการณ์คว้าใจแฟนๆทั้งในไทยและต่างประเทศได้อย่างท่วมท้น ทำให้ชื่อของ คริส - พีรวัส แสงโพธิรัตน์ ก้าวขึ้นสู่นักแสดงวัยรุ่นตัวท็อปในเวลาอันรวดเร็ว และการไม่หยุดเรียนรู้ ทำให้เขากำลังก้าวสู่การเติบโตอีกขั้น หลังจาก “กล้าหลุดออกจากกรอบเซฟโซน” 

คริส เปิดใจกับ “พีพีทีวี ออนไลน์” ประสบการณ์กว่า 7 ปี ในวงการบันเทิงสอนและให้อะไรมากมาย จนสามารถเปลี่ยนจากความกลัว เป็นการกล้า และวันนี้ดีใจที่ได้พิสูจน์ตัวเอง

เรื่องไม่คาดคิดของ “คริส พีรวัส”

“คริส พีรวัส” ดีใจ “ขอโทษที่ยังร้องไห้” กระแสแรง โชว์ฝีมือร้องควบโปรดิวซ์

ค่อยๆปล่อยของในตัวเอง

“(ยิ้ม) ตอนนี้เรื่องดนตรีเริ่มชัดมากขึ้น อย่างเพลงในโปรเจ็กต์อัลบั้มพิเศษ BOYS DON’T CRY ผมแต่ง 3 เพลง คือเพลงของผม “ขอโทษที่ยังร้องไห้” ปล่อยไปแล้วฟีดแบคดีก็หายเหนื่อยครับ ส่วนอีก 2 เพลง ก็มีเพลง “แค่...” ของ พี่เมฆ (จิรกิตติ์ ถาวรวงศ์) และเพลง “จักรวาลที่ฉันต้องการมีแค่เธอ” ของ นนน (กรภัทร์ เกิดพันธุ์)

ซึ่งผมจะเครียดเวลาทำเพลงให้คนอื่น ผมกลัวว่าเขาจะไม่ชอบ จะคิดเยอะไว้ก่อนว่าเขาจะชอบเพลงที่เราเขียนไหม เลยจะกังวลมากหน่อย และเวลาที่ผมจะเอาเพลงไปให้คนที่จะร้องฟัง ผมจะไม่กล้าพูดตรงๆว่าผมเป็นคนเขียนนะ เพราะผมกลัวว่าถ้าเขาไม่ชอบแล้วเขาจะใจหล่น ผมจะพยายามดึงเนียนก่อน จะแอบเปิดให้ฟังโดยที่ยังไม่บอกว่าเพลงนี้เป็นของเขานะ แล้วผมจะถามเขาว่ารู้สึกยังไง ถ้าคำตอบที่ได้มาว่า “ชอบนะ” ผมนี่ใจฟูเลย (หัวเราะ) หรือถ้าบอกว่าเพลงนี้เพลงใครเพราะจัง ก็จะบอกว่าเพลงคุณนั่นแหละ (ยิ้ม) แต่ถ้าให้ลองฟังแล้วเขายังไม่ชอบ หรือบอกว่าก็ดีนะ ผมก็จะแอบถามและศึกษากับตัวคนๆนั้นต่อว่า เขาอยากได้แบบไหน ก็ค่อยไปแอบทำมาให้จนเขาพอใจ ซึ่งตัวผมเองก็แต่งเพลงเอาไว้ประมาณนึง แต่ว่ายังไม่ชัวร์จะออกมาเป็นผลงานเมื่อไหร่ ต้องให้ทางผู้ใหญ่ฟังก่อน

จริงๆแล้วผมก็อยากจะเปลี่ยนสไตล์ของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเขียน 5 เพลง พอเอามานั่งฟัง เอ้ย! สไตล์เดียวกันหมดเลย ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้แล้วนะ เพราะถ้าวันนึงเราต้องแต่งเพลงให้คนอื่น เขาไม่ใช่แนวเรา มันก็ไม่ได้ ผมก็ต้องพยายามคิดต่างจากตัวเองและเปลี่ยนแนวดู”

หลายเสียงชื่นชม “คริส” ตั้งแต่โชว์จากคอนเสิร์ต “แฟนโทเปีย 2020” จนมาถึงผลงานล่าสุด

“ดีใจครับ ที่ทุกคนชอบในสิ่งที่ผมต้องสารสื่อสารออกไปหรือกับสิ่งที่ตั้งใจทำ ก็เป็นเหมือนแรงผลักดันและเป็นเหมือนกำลังใจให้ผมต้องพยายามต่อ ไม่หยุดเรียนรู้ และเป็นเหมือนกระจกให้ผมมองว่าตัวเองไปทางนี้ได้นะ ถามว่ามี “คำติ” ไหม มีครับ จริงๆผมชอบคำติมากนะ คำติที่ดี คำติที่คุณภาพ มันมีผลมากนะครับ มันทำให้ผมเชื่อและไปแก้ให้ปัญหาตรงนั้นหายไป”

ได้ทำงานที่หลากหลายมากขึ้น

“ในปีนี้อาจจะไม่เหมือนช่วงที่ผ่านมาๆ ที่ทำงานทุกวัน แต่ปีนี้เป็นปีที่ผมได้ลองทำในสิ่งใหม่ๆเยอะมากๆ ทั้งงานเพลง งานพิธีกร ซึ่งงานพิธีกรเป็นสิ่งที่ผมอยากเรียนรู้มากๆ ผมชอบดูรายการทีวีโชว์ การจะพูดเอ็นเตอร์เทนคนดูให้ได้แบบพี่ๆมืออาชีพเขาทำยังไง ต้องขอบคุณผู้ใหญ่มากๆครับที่ให้โอกาสผมได้เรียนรู้ ได้ทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม ผมได้เปิดโอกาสให้ตัวเองเยอะขึ้นเลยครับ

รวมไปถึงเรื่องของการแสดง ที่ผ่านมาผมจะได้แสดงซีรีส์วัยรุ่น ซึ่งเป็นการแสดงในศาสตร์หนึ่ง พอผมได้มีโอกาสไปเล่นละคร ได้ไปร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือทั้ง พี่อ้อม พิยดา , พี่สายป่าน อภิญญา , พี่เจสัน ยัง ฯลฯ รวมไปถึง พี่หนุ่ม อรรถพร ผู้กำกับ ซึ่งตัวผมได้วิชาจากพี่ๆมาเยอะเลย (ยิ้ม) ก็ได้พัฒนาตัวเองไปในตัวด้วย ผมเองก็อยากเรียนรู้และพัฒนาตัวเองในเรื่องของการแสดงให้มากขึ้นครับ”

วันนี้กล้าที่ก้าวออมาจากกรอบเซฟโซนแล้ว

“(ยิ้ม) ในเรื่องของการทำงานผมโตขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้น การได้ทำงานกับคนที่มีประสบการณ์เยอะๆ เสริมมุมมองหลายอย่างๆของผมมากๆ อย่างเรื่อง “ทัศนคติ” ของการทำงานชัดเลย ที่ผ่านมาผมอาจจะสติ๊คมาก ถ้าบอกไว้แค่ไหนก็อยากจะทำเท่านี้ พอเกินปุ๊ปเราอาจจะมีรีแอคบ้าง แต่พอได้ผ่านอะไรมา ก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า บางครั้งการยืดหยุ่น ก็คือวิธีการทำงานอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ผมเปิดใจรับอะไรมากขึ้น ด้วยหน้าที่ของตัวเอง เมื่อก่อนเราอาจจะไม่อยากทำ แต่เมื่อมีคำว่า “หน้าที่” เราก็ต้องรับผิดชอบ ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ ในเมื่อเขามอบหมายมาให้คุณ ผมเลยรู้สึกว่าสิ่งนี้แหละคงจะจุดเริ่มต้นทำให้ผมเริ่มกล้าที่จะลองทำในสิ่งที่อาจจะเคยไม่กล้าทำ และทำให้ผมเข้าใจว่าเราต้องใจกว้าง

และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผมกล้าก้าวออกมาจากรอบหรือจากเซฟโซน คือคำสอนและคำเตือนจากผู้ใหญ่ เพราะบางครั้งการเชื่อมั่นในตัวเองมันก็ไม่ได้ถูกเสมอไป แต่ตัวเราเองก็ต้องอยากที่จะเปลี่ยนตัวเองด้วย ทัศนคติเราต้องตรงกับคำสอนจากคนที่เรากำลังฟังเขาอยู่ด้วย มันถึงจะไปด้วยกันได้ ผมเปิดใจและฟังคนอื่นมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับตัวผมมากๆ ทำให้ผมใจเย็นขึ้น ทำให้ผมได้เห็นอะไรที่เคยคิดว่ามันแค่นี้แหละ แต่ที่จริงแล้วมันยังมีอะไรอีกเยอะ ที่ผมไม่เคยเห็นหรือไม่เคยรู้”

มองตัวเองว่าเปลี่ยนไปแค่ไหน

“เปลี่ยนไปจากก่อนที่จะเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงมาก (ลากเสียงยาว) จริงๆนะครับ เรื่องความรับผิดชอบผมว่าทุกคนต้องมี อย่างน้อยก็เรื่องการเรียน ซึ่งผมเองก็ตั้งใจเรียน ผลการเรียนไม่ตก แต่เรื่องการวางแผนในชีวิต ผมไม่เคยมีเลย ผมก็ใช้เงินคุณพ่อไปวันๆ ทั้งๆที่รู้ว่าท่านอาจจะไม่ได้มีเงินเยอะมาก แต่พอวันนึงที่ตัวเองเริ่มมาทำงาน ทำให้ผมรู้ว่าต้องเริ่มลดบทบาทของคุณพ่อคุณแม่ลงแล้วนะ เพื่อที่เราจะไปทำหน้าที่ตรงนั้นแทนท่าน ต้องหันกลับไปมองท่านมากขึ้น

มีครั้งนึงผมงอแงกับคุณแม่ว่าทำไมช่วงนี้ทำงานเหนื่อยมาก เครียดกับเรื่องนั้น เครียดกับเรื่องนี้ คุณแม่ก็บอกกับผมว่าตอนคุณแม่อายุเท่าผมตอนนี้ท่านเครียดกว่าผมอีก หนักกว่าผมเยอะ ก็ทำให้ผมคิดได้ เมื่อก่อนยอมรับว่าดื้อครับ ตอนนี้ไม่ดื้อแล้วๆ แต่ก็มีนึดนึงแหละ (หัวเราะ)”

เวลาเจอปัญหา ท้อ ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมายังไง

“จริงๆแล้วผมควรจะพยายามไปด้วยตัวเองก่อน สู้ให้ถึงที่สุด แต่ผมลักไก่ให้เพื่อนช่วย คือจะให้เพื่อนมานั่งคุย มาทำให้ตัวเองหายเครียด จนสุดท้ายแล้วทำให้รู้ว่ามันมีเอฟเฟ็กต์ เพราะถ้าวันไหนเพื่อนไม่ว่างมาเจอหรือมาอยู่ด้วย แล้วเราเจอปัญหาจะแก้ยังไง จะทำยังไง ทีนี้ก็พาลไปโกรธเพื่อนว่าทำไมไม่มาหา ไม่รักกันแล้วเหรอ นั่นคือความเคยชิน จนทำให้ผมอยู่คนเดียวไม่เป็น

จนวันนึงผมก็ได้เรียนรู้ว่า เราต้องฮิลตัวเองด้วยตัวเอง เพื่อที่ว่าวันนึงเราจะผ่านมันไปให้ได้เมื่อเจอปัญหา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่หันไปหาเพื่อนนะครับ ยังเป็นอยู่ (หัวเราะ) แต่ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเป็นปัญหาหรือท้อเรื่องงาน ผมก็จะบอกตัวเองว่า นี่เรากำลังทำในสิ่งที่เราชอบ ทำในสิ่งที่เรารัก มันก็ทำให้ผมไม่ค่อยมีปัญหาตรงนี้ เพราะผมรักการทำงานตรงนี้มากๆ ส่วนมากจะเครียดเรื่องธุรกิจ ที่อาจจะได้รับผลกระทบหนักหน่อยในช่วงนี้”

7 ปีในวงการบันเทิง ประสบการณ์ต่างๆสอนหรือให้อะไรบ้าง

“ให้เยอะมากครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมได้มาคือ “เราควรที่จะต้องเป็นตัวเอง...อย่างถูกที่ถูกเวลา” คือการที่เราเกรงใจใครและไม่กล้าที่จะเป็นตัวเองเป็นเรื่องดีนะ แต่บางครั้งถ้าเราไปคิดถึงเรื่องนี้ไว้ตลอด มันจะทำให้เราไม่สามารถผลักทุกๆอย่างที่เป็นตัวเราออกมาได้ คนอื่นกำลังเฟ้นหาความเป็นตัวคุณอยู่ แต่ถ้าไปปิดกั้นเอาไว้เขาก็จะไม่เห็น

แต่การเป็นตัวเองมากไปก็ไม่ดี มันอาจจะส่งผลให้บางครั้งเราอาจจะไม่ฟังคนอื่น กลายเป็นคนดื้อไปเลยก็ได้ การเป็นตัวเองอย่างถูกที่ถูกเวลามันคือสิ่งสำคัญมากจริงๆ และสิ่งที่เราได้เจอก็จะสอนเราเอง ซึ่งสำหรับตัวผมในวงการบันเทิงยังมีอะไรให้ผมเรียนรู้อีกเยอะมากๆ ผมเองก็หวังว่าจะได้รับโอกาสได้เรียนรู้ครับ”

นอกจากจะเดินหน้าทำหน้าที่ของตัวเองในอาชีพที่รักแล้ว “คริส” ยังเดินหน้าทำหน้าที่ “ลูก” ดูแลครอบครัวด้วย

“ผมทั้งรู้สึกภูมิใจและเป็นห่วงตัวเอง ผมดีใจที่วันนี้ผมสามารถดูแลคนในครอบครัวได้ กำลังจะปลูกบ้านหลังใหม่ให้ แต่บางครั้งความนิสัยไม่ดีในตัวผม จะทำให้ผมไม่ฟังคนในครอบครัวด้วย หัวแข็งในบางเรื่อง พอเวลาผ่านไปผมเองก็จะเสียใจและรู้สึกผิดกับสิ่งนั้น ก็บอกตัวเองเสมอว่าอย่าดื้อมากนะ..พีรวัส (ยิ้ม) เพราะผมรู้ดีว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านยังมองว่าผมยังเด็ก ท่านเป็นห่วงผม

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเอง คือคุณพ่อคุณแม่ท่านดีใจในสิ่งผมตั้งใจทำให้ อย่างบ้านหลังใหม่ ตอนนี้ยังเป็นที่ดินเปล่าอยู่เลย อยู่ในช่วงดำเนินการ ซึ่งก็เป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงของผมเอง ก็วางงบไว้ประมาณนึง ก็ต้องขยันทำงานเยอะขึ้น จ้างได้ครับๆ (หัวเราะ) จริงๆแล้วบ้านหลังนี้มีแรงผลักดันสูงมาก เพราะใจผมอยากให้เสร็จเร็วๆ ผมอยากให้ อาม่า อากง ท่านได้มาอยู่ด้วยกัน เพราะตอนนี้ท่านอายุเยอะแล้ว”

โฟกัสงานแล้ว เรื่องหัวใจเป็นยังไงบ้าง

“โอ้โห! ตอนนี้โฟกัสงานครับ ผมเป็นคนขี้เหงานะ แต่ก็โสดสนิทครับ (ยิ้ม) ผมว่ายิ่งโตขึ้นโจทย์ความรักยิ่งน้อยลง แต่มันจะเป็นโจทย์ที่ยากขึ้น อย่างเมื่อก่อนเราอาจจะมองหลายๆอย่าง แต่ตอนนี้ผมขอแค่คนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมเป็นตัวเองได้ และถ้ารู้จักกันแล้วต้องดึงผมขึ้น แต่ผมยังไม่รู้สึกว่าต้องรีบร้อนอะไร ผมอยากให้แพลนชีวิตตัวเองที่วางไว้มันสำเร็จก่อน”

อีกหนึ่งกลุ่มคนที่สำคัญกับ “คริส” คือแฟนคลับที่คอยซัพพอร์ต

“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกัน ด้วยสถานการณ์ที่ต้องเว้นระยะห่าง ผมก็จะหาวิธีเชื่อมต่อกับพวกเขา ผมก็มีไลฟ์ไอจีบ้าง เพราะจริงๆแล้วถ้าว่างผมก็จะหายเลย ไม่เล่นโซเชียล เล่นแต่ดนตรี (หัวเราะ) ก็เลยจะพยายามหาทางพูดคุยกับทุกคน ผมดีใจมากที่เราอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ทุกคนคอยซัพพอร์ตผม ชวนกันทำเรื่องราวดีๆ ผมว่าพวกเราโตมาด้วยกันจริงๆนะ น้องบางคนอยู่เจอกันตั้งแต่เรียนมัธยม ตอนนี้เรียนจบทำงานแล้วก็มี และผมว่าเราทั้งสองฝ่ายต่างมองการเติบโตของกันและกัน ผมอยากขอบคุณทุกคนมากๆนะครับ ในวันที่ผมแย่ รู้สึกไม่ดี ก็จะมีทุกคนคอยอยู่เคียงข้าง ไม่ทิ้งผม ไม่ปล่อยมือผม ขอบคุณมากๆครับ อยู่ด้วยกันไปอีกนานๆนะครับ”

“คริส” อยากบอกอะไรตัวเองบ้าง

“อยากขอบคุณตัวเองที่ยังสำรวจตัวเองอยู่ตลอดว่าวันนี้ตัวเราเป็นยังไง อยากบอกตัวเองว่า อย่าดื้อมาก อย่าอารมณ์ร้อนกว่านี้ ยิ่งตอนนี้เริ่มขับรถเองแล้ว ต้องใจเย็นๆ ส่วนเรื่องงานก็สู้เต็มที่ครับ ฝากทุกคนติดตามผลงานของผมด้วยนะครับ (ยิ้ม)”

 

 

 

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ