“น้อง พรสุดา” เปิดใจ หลังหย่าอดีตสามีนักการทูตชาวบรูไน มานาน 5 ปี


โดย PPTV Online

เผยแพร่




“น้อง - พรสุดา ต่ายเนาว์คง” เปิดใจหลังเลิกลากับอดีตสามีนักการทูตชาวบรูไน ที่ซุ่มเงียบหย่ามานาน 5 ปี เผยเส้นทางในวงการบันเทิงถ้าไม่มีฝีมืออยู่ไม่ได้

ดาราดังยุค 90  ขวัญใจแฟนละคร น้อง - พรสุดา ต่ายเนาว์คง ออกมาเปิดใจครั้งแรกผ่านคุยแซ่บSHOW ถึงชีวิตรักกับ อดีตสามีนักการทูตชาวบรูไน ซุ่มเงียบหย่ามานาน 5 ปี โดยเจ้าตัวเผยว่า

ตอนที่แต่งงานกับสามีข่าวดังมากขนาดไหน?

“ทุกคนให้ความสนใจ เพราะตอนนั้นยังไม่มีนักแสดงคนไหนแต่งงานกับนักการทูต เราน่าจะเป็นคนแรก เขาก็เลยรู้สึกว่าแปลก ว่าเราเจอกันได้อย่างไร คืออาจจะไม่ได้ดังมาก

ประมวลภาพ MUT 2021 “รอบชุดว่ายน้ำ” 30 สาวงาม สวยสับ ฟาดความแซ่บไม่ยั้ง!

“อรอนงค์” ห่วงความรู้สึกลูก หลังหย่าสามี

"คู่รักดารา" ไปต่อไม่ไหว สะบั้นสัมพันธ์ ปี 2563

แต่ทุกคนจะให้ความสนใจว่า เราเป็นนักแสดงซึ่งอยู่กับกองถ่าย ทำไมไปเจอกับนักการฑูตที่ไม่น่าจะมาเจอกันได้ ถามว่าทำไมตัดสินใจแต่งงาน คือตอนนั้นเราอายุ 30 แล้ว และยุคนั้นผู้หญิงอายุ 20 กว่าก็ต้องแต่งงานแล้ว และเพื่อนๆก็ทยอยแต่งงาน ทำให้เรารู้สึกเคว้งคว้างมาก ก็เลยคุยกับเขาว่าถ้าอยากแต่งงานเราก็ยินดี แต่เราไม่คิดว่าจะต้องเลือกระหว่างหน้าที่การงานกับครอบครัว เพราะตอนนั้นเขากำลังจะย้ายกลับประเทศ เขาก็ให้เราตัดสินใจ คือถ้าเราไม่แต่งเขาก็กลับประเทศเขาไป แล้วเราก็ทำงานของเราไป แต่ถ้าแต่งเราต้องเลือก”

ตอนนั้นหลายคนมองว่าเป็นหนูตกถังข้าวสาร?

“ก็ไม่ขนาดนั้น แต่เมื่อพูดถึงประเทศบรูไนก็เป็นประเทศน้ำมัน ประชากรที่นั่นก็น้อยและอัตราส่วนต่อเงินเดือน เราจะรู้สึกว่าเขาได้เงินเดือนสูงมาก และประเทศเขาดูแลประชากรดีมาก มีทุกอย่าง เรียนก็เรียนฟรี ตอนนั้นทุกคนเลยเข้าใจว่าเราต้องแต่งกับคนที่รวยมากแน่ๆ แต่เราก็พยายามอธิบายว่านักการฑูตก็คือข้าราชการคนหนึ่ง ที่ไม่ได้รวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร”

ทราบข่าวว่าตอนนี้หย่าแล้ว หย่าเงียบๆมา 5 ปี ทำไมถึงหย่า?

“ค่ะ ก็เหมือนผู้ใหญ่คุยกันว่าเราอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว มันมีเหตุผลหลายอย่าง เขาก็เข้าใจถึงสถานการณ์ของเรา เราก็บอกเขาว่าเราคงไม่สามารถเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ ที่จะดูแลเขาตลอดไปไม่ได้ เพราะเราต้องการกลับมาทำงานเหมือนเดิม ซึ่งเขาก็บอกเราว่าก็ได้ ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้อยากจะเลิกกับเรา แต่เขาขอกับเราว่าเขาขอแต่งงานกับภรรยาอีกคนได้ไหม

คือตามหลักศาสนา สามีสามารถแต่งภรรยาได้ 4 คน แต่มีข้อแม้ว่าภรรยาแรกต้องอนุญาติ คือมันจะมีกรณีที่ภรรยาป่วยดูแลสามีไม่ได้ สามีอยากมีลูกก็จะขอภรรยา ถ้าภรรยาอนุญาติเขาก็จะไม่บาป แต่บางครอบครัวก็แต่งเลย ก็แล้วแต่ พอเขามาคุยกับเรา เราก็เลยขอเลิกดีกว่า เพราะเราก็ไม่ชอบแชร์ของกับใคร เราตั้งใจว่าถ้ามาอยู่เมืองไทยเราก็เริ่มทำงานละครให้เต็มที่ ประกอบกับคุณแม่ไม่สบาย แล้วที่ผ่านมาเราก็ไม่ค่อยได้ดูแลท่าน ก็เลยบอกเขาว่าเราอยากอยู่ที่ไทยถาวร แล้วเราก็ขอให้เขาประกาศหย่าให้เราหน่อย เพราะเราคงไม่กลับไปแล้ว คือตามหลักศาสนา ถ้าสามีประกาศหย่าก็หมายความว่าสามีไม่ต้องการภรรยาคนนี้แล้ว ซึ่งกระดาษใบนั้น สามีสามารถไปเดินเรื่องเองได้”

ทราบมาว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณพ่อเสียด้วย?

“ใช่ค่ะ ช่วงที่แต่งงานใหม่ๆด้วยความที่เราไม่อยากสูญเสียงานแบบถาวร เราก็เลยต้องเดินทางไปๆ มาๆ ซึ่งสามีเขาก็โอเค แต่เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของเรา ดังนั้นเขาจะไม่ตามเรามา คือเรามาทำงาน ทำงานเสร็จแล้วบินกลับ ช่วงนั้นมันเหนื่อยเรารู้สึกว่าเราทำอะไรได้ไม่เต็มที่ หลังจากนั้นสามีก็ได้ย้ายไปประจำที่ประเทศมาเลเซียเป็นอัครราชทูต ซึ่งตอนนั้นเขาก็มาพูดกับเราเป็นเรื่องเป็นราวว่าไม่อยากให้เรากลับไปทำงานที่เมืองไทยแล้ว เพราะว่าตอนอยู่บรูไนเขาก็เหมือนเป็นข้าราชการธรรมดา แต่พอต้องไปอยู่มาเลเซีย เขาก็เหมือนเป็นตัวแทนประเทศ และนักการทูตจำเป็นที่จะต้องมีภรรยาคอยซัพพอร์ตตลอด 24 ชั่วโมง”

หน้าที่ของภรรยาทูตมีอะไรบ้าง?

“ก็อย่างเช่นวันชาติ ตามประเทศต่างๆ เขาจะมีจัดงานซึ่งราชทูตก็จะต้องไปร่วมงานเพื่อเป็นเกียรติ ถ้าไปเดินเฉยแล้วไม่มีภรรยาตามก็จะกลายเป็นข้อครหาา ว่าทำไมภรรยาไม่ซัพพอร์ตสามี สามีก็เลยบอกว่าคุณต้องหยุดเพื่อที่จะต้องเป็นตัวแทนของประเทศบรูไน ในฐานะภรรยานักการทูตซี่งเราต้องทำเต็มร้อย ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจหยุดเลย 8 ปี ตอนแรกอยู่ที่กูชิง ประเทศมาเลเซีย ตอนนั้นเราไปเป็นกงสุลใหญ่อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นก็กลับไปบรูไนก่อนจะไปประจำที่กัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย เพราะอดีตสามีเขาจะรู้จักกับผู้บริหาร เพราะฉะนั้น การที่มาอยู่กัวลาลัมเปอร์ก็จะสะดวก

ส่วนที่คุณพ่อเสีย พี่จำได้ว่าเป็นปี 2555 เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ตอนนั้น ก็เกษียณมาอยู่ที่บรูไน แล้วคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งที่หลอดลม ซึ่งทานอาหารอะไรไม่ได้เลย แล้วคุณแม่ก็เริ่มป่วย เราก็กลับมาเยี่ยมท่าน ท่านก็บอกเราว่าไม่เป็นไร กลับไปอยู่กับครอบครัวเถอะ อันนี้เป็นคำพูดสุดท้ายของท่าน หลังจากนั้น ไม่ถึง 2 อาทิตย์คุณพ่อก็เสียเราก็เลยรู้สึกว่าเราทำหน้าที่ลูกได้ไม่สมบูรณ์

ซึ่งคุณพ่อ ท่านก็อยากเห็นเรามีความสุข มีครอบครัวที่สมบูรณ์ ส่วนสามีเป็นมุสลิม เวลามีใครเสียก็ต้องฝังภายใน 1 วัน พอคุณแม่โทรมาบอกว่าคุณพ่อเสียแล้ว เราต้องโทรไปขอร้องอิหม่ามว่าขอเวลา 1 วัน เพราะตอนนั้นไม่มีไฟว์ไม่มีอะไรเลย เราก็ได้ตั๋วในวันรุ่งขึ้น สามีก็บอกเราว่าคุณไปเถอะ สามีไม่ได้ไปด้วย ซึ่งเราไม่คิดอะไร เราแค่อยากเห็นท่านก่อนจะฝัง และเวลานั้นมันรีบมาก หลังจากนั้นเราก็รู้สึกว่าทำไมเราอยู่คนเดียว จริงๆในงานคุณพ่อก็มีของครัวของเรา แต่ครอบครัวของเขาไม่มีเลย คือมันอาจะเป็นเพราะว่าเรามีข้อตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่า เราจะกลับมาเอง จะมาทำงาน มาเยี่ยมครอบครัว นานๆ มากเขาถึงจะมาสักที

และหลังจากนั้น เลยมีความรู้สึกว่าไม่อินกับชีวิตครอบครัวแล้ว เพราะเราก็ไม่ได้มีลูกด้วยกัน เรารู้สึกไม่ค่อยดีเพราะว่าเรามีลูกให้เขาไม่ได้ เราก็เลยบอกเขาว่าอยากมีบุตรบุญธรรมไหม เขาบอกว่าไม่อยากได้เพราะเดิมเขามีบุตรอยู่แล้วกับภรรยาเก่า แต่ภรรยาเขาเสียชีวิตไปแล้ว แล้วการที่เขาต้องเลี้ยงบุตรบุญธรรมที่ใม่ใช่ลูกของเขา มันอาจจะไม่ยุติธรรมกับลูกเขา และเราก็เคยไปปรึกษาคุณหมอ ซึ่งคุณหมอบอกว่ามันช้าเกินไป เราก็รู้สึกว่าผู้หญิงอายุ 60 ยังมีลูกได้ ทำไมเรามีไม่ได้ ตอนนั้นก็หมดกำลังใจไปเลย แต่เราก็รักลูกเขาเหมือนลูกเรานะ เพราะลูกคนเล็กเขาตอนที่เจอก็อายุแค่ขวบกว่าๆ แต่พอมาถึงจุดที่คุณพ่อเสีย เรารู้สึกผิดมาก เพราะเมื่อท่านจากไป มันไม่มีอะไรที่จะทดแทนได้ ก็เลยบอกกับตัวเองว่า เราจะดูแลแม่ให้ดีที่สุด จะดูแลแม่เอง

ซึ่งช่วงนั้นคุณแม่ก็ผ่าตัดหลัง แล้วบ้านเราที่ไทยก็ไม่มีใครเลย เพราะตัวเรามีพี่สาวก็อยู่ที่เยอรมัน ส่วนตัวเราเองอยู่ในแถบเอเชียมันก็เลยเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องกลับมาดูแลท่านตลอด พอหลับมาเมืองไทย งานละครก็เริ่มมา เขาก็โทรมาถามว่าตกลังเราจะเอาอย่างไร เพราะว่าเราไม่ได้กลับไปดูแลเขาเลย นั่นก็คือจุดที่ขอเขามาอยู่ที่ไทยถาวร”

เห็นว่าเป็นญาติที่เอาผู้หญิงมาเสนอ?

“ที่บรูไน ข้าราชการชั้นสูงที่มีหน้ามีตา ญาติพี่น้องเขาก็เริ่มจะรู้ว่าเราไม่ค่อยกลับไป ญาติห่างๆ ของเขาก็เลยเสนอว่าจะให้ลูกสาวมาแต่งงานจะได้ดูแล ส่วนเราก็อึ้งไปเลย ทั้งๆที่เราก็ทราบอยู่แล้วว่าเขามีสิทธิ์ที่จะมีภรรยาได้ 4 คน แต่เราเคยคุยกับเขาอยู่แล้ว ว่าเราขอเรื่องนี้เพราะเราคิดว่าเราดูแลเขาได้ แต่ปรากฎว่าชีวิตมันต้องเลือกหลายอย่าง มันก็เลยทำให้ตัดสินใจเราเลือกแม่ดีกว่า เพราะรู้สึกว่าถ้าเราต้องเลือกผู้ชายแต่ไม่ได้ดูแลคุณแม่ เราจะต้องตกนรกแน่ๆ ต้องบาปมาก”

พอสามีมาขอแต่งงานอีกคน ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร?

“เราทราบอยู่แล้วว่าเขาสามารถมีได้ แต่ตอนที่เราศึกษาศาสนา การที่สามีจะมีภรรยาได้นั้น ต้องได้รับการยินยอมจากภรรยาแรก ตอนที่เขามาขอใจเราหล่นไปเลย แต่เราก็ได้แต่คิดว่ายังดีกว่าเขาไปแอบทำ อย่างน้อยเขาก็ยังมาบอกเรา ที่ผ่านมาเราเป็นคนมองโลกในแง่ดี อย่างน้อยเราได้ใช้ชิวิตกับเขา มีประสบการณ์กับนานาประเทศ ซึ่งถือเป็นกำไรชีวิต แต่ชีวิตวันต้องเลือก พอมาถึงที่สุดแล้วเราก็เลือกเป็นลูกกตัญญูดีกว่า คือเราก็คิดว่า การมีสามีกับการมีแม่ อย่างไรเราก็ต้องเลือกแม่ก่อน”

ตอนนี้มีคนมาจีบบ้างไหม?

“อายุเยอะแล้ว เราก็อยากพักตรงนี้เพราะงานมันเยอะมาก เราก็ขอทุ่มตรงนี้ก่อน หลายคนก็ถามว่าเราไม่มีลูก ไม่เหงาเหรอ คือเราเห็นน้องๆนักแสดง ที่เป็นรุ่นลูกเราเราก็ดูแลเขาเหมือนลูก ก็คอยดูแลเรื่องงานให้เขาประสบความสำเร็จ ก็กลายเป็นหน้าที่ที่เราอินไปแล้ว ไม่ได้มีความคิดจะหาใหม่เพราะมันไม่เหงา เราต้องออกกองตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับมา มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่ได้

ส่วนคนที่แอบมาจีบ ก็ไม่มี อาจจะเป็นเพราะกองละครเป็นกองปิดด้วย และหลังๆเราไม่ค่อยอยากออกงานสังคม เราจะไปแค่กองถ่ายที่เราทำงานเท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่จะทำให้เราเจอกับใครมันยากมาก และที่ผ่านมาเราก็ออกงานจนมันเบื่อ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็พยายาโฟกัสกับงาน ถามว่าปิดสนิทไหมก็เกือบสนิท คือตอนนี้เราก็โฟกัสเรื่องงานมาก่อน เพราะอย่างที่บอกว่าเราก็ไม่มีโอกาสไปเที่ยวหรือไปสังสรรค์กับใคร เวลาไปกองละครเราก็จะอาวุโสสุด”

“หมิว สิริลภัส” เอาจริงไม่ยอมความ ดำเนินคดีเกรียนคีย์บอร์ด

อยู่วงการมา 40 ปี ทำมาถึงเรียกตัวเองว่าเป็นนางเอกขี้เหร่?

“คือตอนที่เริ่มโตเป็นสาว รู้ตัวว่าเราไม่ได้เป็นคนสวยเด่นอะไร ก็มีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการเพราะมีโมเดลลิ่งมาทาบทามตอนเดินสยาม จนกระทั่งเราเริ่มได้งาน ซึ่งงานที่ได้เราไม่เคยเป็นตัวหลัก แล้วหลังจากที่เราได้เป็นนางแบบเราก็ขอทำงานกับบริษัทโมเดลลิ่งเลย เพราะเราไม่ค่อยมีเงิน แล้วการที่ไปถ่ายโฆษณาหรือถ่ายหน้ากล้องบางทีก็ได้เงินบ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าทำงานโมเดลลิ่งเราก็จะได้เงินเดือนด้วย แล้วเวลาพาน้องไปแคสเราก็ไปแคสด้วย

ซึ่งกลายเป็นว่าเราได้มากกว่าน้องๆที่พาไป คือเราเรารู้สึกว่าโชคดี เพราะดาราแต่ละยุคนั้นจะไม่เหมือนกัน อย่างยุคของเราก็จะไม่เน้นว่าต้องสวย หุ่นดี หรือต้องครบเครื่อง นางเอกก็จะออกแนวน่ารักๆ นางเอกที่ดังๆในยุคนั้นคือ “นิด อรพรรณ” ที่บอกว่าเราต้องขายความสามารถเพราะว่า มีครั้งหนึ้งไปถ่ายโฆษณาลูกอมบนรถไฟ คือตัวหลักของเรื่องถ่ายไม่ผ่านสักที คือพอแอคติ้งได้บทพูดไม่ได้ พอพูดได้ แอคติ้งไม่ได้ จนผู้กำกับต้องถามว่าใครเล่นได้ เราก็ยกมือว่าเล่นได้ ณ ตอนนั้นทำให้เรารู้ว่าเราไม่สวย ถ้าจะให้ได้งานเราต้องขายความสามารถ”

ตอนเด็กๆลำบากขนาดไหน?

“คือตอนที่เราเด็กๆ คุณพ่อไปมีภรรยาน้อยแล้วคุณแม่ไม่รู้อะไรเลย พอคุณแม่รู้ท่านช็อกมาก กินไม่ได้ ร้องไห้ตลอดเวลา น้ำหนักท่านลดไป 10 กิโลในระยะเวลาไม่นาน แล้วเราก็เห็นสภาพท่านอย่างนั้นมาตลอด จนมาวันหนึ่งแม่คงไม่ไหวแล้ว ท่านทะเลาะกับพ่อหนักมาก แล้วพูดมาคำหนึ่งว่า เราหย่ากันเถอะ คือตอนนั้นมันเหมือนละครมาก ตัวเราก็ตาใสมองพ่อที มองแม่ที แล้วก็รับทราบว่าแม่จะหย่ากับพ่อเหรอ แต่ด้วยความที่เราอยู่กับแม่มาตลอดเราก็จะรู้ว่า แม่ทรมานแค่ไหนที่คุณพ่อนอกใจ ก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน เพราะเราไม่อยากเห็นคุณแม่ร้องไห้แล้ว แล้วท่านก็ให้เราเลือกว่าจะอยู่ก้บพ่อหรืออยู่กับแม่ คือถ้าเราเลือกอยู่กับใคร พี่สาวอีกคนก็จะดูแล ช่วงนั้นเราเลือกอยู่กับพ่อ เพราะเราอยู่กับแม่ตลอด และตั้งแต่เด็กเราก็จะต้องตัดสินใจเลือกทางเดินตัวเองตลอด แต่ในเมื่อเราเลือกแล้ว เราจะมาเสียใจมันก็ไม่มีประโยชน์

เฉลยเหตุผล ทำไมช่วงนี้ประเทศไทย ถึงมี "ลมหนาว" มาเยือน

แต่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ที่เลิกลากัน กลับมาอยู่ด้วยกันได้ ทำได้อย่างไร?

“ตอนนั้นเข้าวงการแล้ว เราสามารถหาสตางค์ได้เป็นกอบเป็นกำ สามารถซื้อบ้านได้ แล้วตอนนั้นคุณพ่อก็อ่อนลงแล้ว ส่วนภรรยาน้อยก็เลิกลากกันไป เราก็ได้คุยกับคุณพ่อว่ามาอยู่ด้วยกันไหม ลูกสร้างบ้านให้เพื่อพ่อกับแม่นะ คือท่านไม่จำเป็นต้องรักกัน ขอให้อยู่เพื่อลูก และสิ่งนี้เรารู้เลยว่าเขารักเรา เขาก็เลยมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง”

คืนนี้! “พีพีทีวี” ชวนยลโฉม 30 สาวงาม ในการประกวด MUT 2021 รอบชุดว่ายน้ำ

TPN พลิกโฉมการประชันรอบชุดว่ายน้ำ MUT 2021 รูปแบบใหม่ พร้อมชมการประกวดทาง “พีพีทีวี” คืนนี้!

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ