เมื่อเรตติ้งมา โฆษณาจึงล้นทุกช่วงเวลา โดยค่าโฆษณาช่วงไพรม์ไทม์ของช่อง 3 อยู่ที่นาทีละ 480,000 บาท และเมื่อรวมกับรายได้จากการโฆษณาทางเว็บไซต์ , แอปเมลโล่ (Mello) , งานอีเว้นท์ , สติ๊กเกอร์ไลน์ และสินค้าลิขสิทธิ์ คาดว่าจะโกยรายได้ ไปถึง 500 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังทำให้หุ้นบีอีซี (BEC) ฟื้นจากจุดต่ำสุดได้
ส่วนแบรนด์สินค้าต่าง ๆ ก็ทุ่มเงิน จ้างนักแสดงในเรื่องไปออกงานอีเว้นท์เรียกลูกค้า จนสร้างปรากฏการณ์ห้างแตก นอกจากนี้ทุกตัวละครอัพค่าตัวในการออกงานเรียกว่าเป็นช่วงนาทีทองเลยทีเดียว โดยเฉพาะ หมื่นโป๊บ ธนวรรธน์ ที่ค่าตัวออกงานอยู่ที่ประมาณ 370,000 บาท แม่หญิงการะเกด เบลล่า ประมาณ 280,000 บาท ขุนเรือง ปั้นจั่น ประมาณ 150,000 บาท ฟอลคอน หลุยส์ สก็อต ประมาณ 100,000 บาท แม่หญิงจันทร์วาด ปราง กัญญ์ณรัณ ประมาณ 100,000 บาท หลวงสรศักดิ์ ก็อต จิรายุ ประมาณ 100,000 บาท
นอกจากนี้ ทั้งคู่พระนาง ยังรับทรัพย์จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ โดยเอไอเอส (AIS) และธนาคารไทยพาณิชย์ เลือก "เบลล่า ราณี" ส่วน "โป๊ป ธนวรรธน์" ก็คว้าตำแหน่งพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของกลุ่มทรู (TRUE) ตอนนี้ "บุพเพสันนิวาส" ไม่ได้แรงแค่ในไทย โดยเฉพาะจีนและเกาหลี มีคนนำไปแปลซับ จนฮิตในโลกออนไลน์ ล่าสุดบริษัทจีนได้ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ไปออกอากาศ ซึ่งจะเป็นช่องทางโกยเงินอีกมหาศาล เพราะตลาดจีนใหญ่มาก
สำหรับเพลงหลักอย่าง "บุพเพสันนิวาส" ก็มียอดฟังในยูทูบ (Youtube) ทะลุ 28 ล้านวิว แล้ว ส่วนเพลง "ออเจ้าเอย" ก็ฮิตติดชาร์ตอันดับ 1 ไอทูนส์ (iTunes) กัมพูชา ได้อย่างเหลือเชื่อ โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประมาณการว่า ความแรงของบุพเพสันนิวาส ทำให้มีนักท่องเที่ยวตามรอยละคร ไปอยุธยา และลพบุรี เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว ทำให้ มีเงินสะพัดประมาณ 5,000 ล้านบาท และการที่ละครถูกซื้อไปฉายต่างประเทศ จะทำให้ชาวต่างชาติ มาเที่ยวไทยตามรอยละคร สร้างรายได้เข้าประเทศอีก 5,000 ล้านบาท และหากจุดกระแสเรื่องนี้ ต่อไปได้ถึง 6 เดือน จะทำให้เม็ดเงินสะพัดเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 -30,000 ล้านบาท